สารอาหารที่คนท้องควรเน้นทาน 40 สัปดาห์และน้ำหนักตัวที่ควรขึ้น
ช่วงเวลา 40 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ภาวะโภชนาการของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ส่งผลต่อสุขภาพของตนเองและทารกในครรภ์ มีรายงานทางการแพทย์ยืนยันให้เห็นชัดเจนว่า ภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ เช่น โลหิตจาง ครรภ์เป็นพิษ เบาหวาน ไทรอยด์ รวมถึงการคลอดก่อนกำหนด และทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ เหล่านี้ มีความสัมพันธ์กับภาวะโภชนาการและน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นของคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์
- โปรตีน
โปรตีน สำคัญสำหรับการนำไปใช้เสริมสร้างอวัยวะและกล้ามเนื้อของมารดาและทารก จึงควรรับประทานโปรตีนจากสัตว์ ไข่และพืชให้หลากหลาย ปริมาณที่คนตั้งครรภ์ต้องการเท่ากับ 35-110 กรัมต่อวัน ในทางปฏิบัติเพื่อให้ง่าย ควรเพิ่มสัดส่วนโปรตีนแต่ละมื้อให้ไม่ต่ำกว่า 30-40 % ก็น่าจะเพียงพอ
- สารโฟลิก
กรดโฟลิก หรือ โฟเลต เป็นสารอาหารสำคัญอันดับแรกที่คุณแม่ที่กำลังจะ หรือตั้งครรภ์แล้ว ขาดไม่ได้เลย เพราะ โฟเลต เป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับการสังเคราะห์ดีเอนเอของเซลล์เพื่อสร้างอวัยวะต่างๆของทารกในครรภ์ มีรายงานพบทารกสมองไม่ปกติและท่อหุ้มไขสันหลังไม่ปิดในมารดาที่ขาดสารโฟเลต
เนื่องจากสมองและไขสันหลังจะพัฒนาอย่างรวดเร็วและสมบุรณ์ภายใน 28 วันหลังการปฏิสนธิ มีรายงานพบว่า การบริโภคสารโฟเลต 400 ถึง 800 มิลลิกรัมต่อวัน ก่อนการตั้งครรภ์และในช่วง 28 วันหลังการปฏิสนธินี้ มีผลลดอุบัติการณ์ของการเกิดความผิดปกติของทารกลงอย่างมาก โฟลิกพบมากในพืชใบเขียว ธัญพืช พืชตระกูลถั่ว ตับ ไต และยีสต์ แต่อย่างไรก็ตาม อาหารพวกนี้อาจไม่เพียงพอ ถ้าให้แน่ใจควรทานอาหารเสริมที่มีสารโฟเลตร่วมไปด้วยเลยจะดีกว่า
- ธาตุเหล็ก
ธาตุเหล็ก จำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดที่เพิ่มจำนวนอย่างมากมายในช่วงตั้งครรภ์ ปริมาณเลือดในร่างกายคุณแม่ตั้งครรภ์จะเพิ่มสูงขึ้นถึง 70% เลยทีเดียว เพื่อให้เพียงพอต่อการนำสารอาหารและอ๊อกซิเจนไปเลี้ยงทารกที่อาศ้ยอยู่ในครรภ์มารดา จากสถิติพบว่า สตรีตั้งครรภ์มากกว่าครึ่ง มีภาวะโลหิตจางจากการได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ
ภาวะโลหิตจางของคุณแม่ ถือว่าเป็นสาเหตุอันดับต้นๆของการคลอดทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าเกณฑ์ปกติ องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา แนะนำให้สตรีมีครรภ์ควรได้ธาตุเหล็กไม่ต่ำกว่า 27 มิลลิกรัมต่อวัน นอกจากนี้ยังพบว่า 15% ของสตรีวัยเจริญพันธุ์มีภาวะโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก และมีผลต่อสภาวะมีบุตรยาก ดังนั้นสตรีกลุ่มนี้ควรพิจารณาทานธาตุเหล็กเสริมตั้งแต่ก่อนจะตั้งครรภ์ด้วย
- แคลเซียม
แคลเซียม มักดูดซึมได้ดีขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ สตรีมีครรภ์ต้องการแคลเซียมวันละไม่ต่ำกว่า 1,000 มิลลิกรัม ซึ่งสูงกว่าช่วงไม่ตั้งครรภ์ไม่มากนัก ดังนั้นจึงแนะนำให้สตรีมีครรภ์ที่ไม่สามารถได้รับแคลเซียมจากอาหารเพียงพอ เช่น ดื่มนมไม่ได้ ควรได้รับแคลเซียมเสริมวันละ 600 มิลลิกรัม
- วิตามินรวม
อาจมีประโยชน์ในคุณแม่ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง หากจะใช้ก็ควรปรึกษาสูติแพทย์ที่ฝากครรภ์ เพราะวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินเอ ในปริมาณที่มากเกินไป เกิน 10,000 ยูนิตต่อวัน ทำให้ทารกพัฒนาการผิดปกติได้
น้ำหนักตัวแม่ท้องควรขึ้นเท่าไหร่ถึงจะดี
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ของมารดาสะท้อนถึงพัฒนาการของทารกในครรภ์ด้วยเช่นกัน เพราะน้ำหนักแรกเกิดของทารกเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญต่อสุขภาพและการเจริญเติบโตของทารก มีรายงานจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า ทารกที่น้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำกว่าเกณฑ์มาก ๆ มักพบปัญหาของการทำงานหัวใจและหลอดเลือด มีโรคต่อมไร้ท่อ และระบบเผาผลาญพลังงานไม่ปกติ เมื่อทารกเหล่านี้เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่
พบความสัมพันธ์ของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ภาวะเบาหวานแฝง ในคุณแม่ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มมากกว่าปกติ นอกจากนี้ น้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์ของมารดาก็มีผลต่อการตั้งครรภ์ จึงควรเพิ่มน้ำหนักให้เหมาะสมดังนี้
- คุณแม่ที่มีน้ำหนักตัวปกติ ควรเพิ่มน้ำหนักไม่น้อยกว่า 8 กก. แต่ไม่มากกว่า 12 กก.
- คุณแม่ที่ผอมเกินไป มี BMI น้อยกว่า 19.8 ต้องเพิ่มน้ำหนักให้มากกว่าปกติระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อให้ทารกได้สารอาหารเพียงพอ
- คุณแม่ที่อ้วน ควรควบคุมไม่ให้น้ำหนักเพิ่มมากเกินไป แต่ก็ยังจำเป็นต้องเพิ่มให้ได้ไม่ต่ำกว่า 6-7 กก.
แม่ท้องกลุ่มพิเศษ เช่น มังสวิรัติ ควรเน้นพืชผักผลไม้ที่ให้โปรตีนและสารอาหารดังที่ได้กล่าวมาเพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานที่ทำให้เกิดภาวะเบาหวาน หรือ น้ำหนักตัวเพิ่มมากเกินไป กลุ่มที่มีโรคเลือด โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เหล่านี้ ควรอยู่ในความดูแลของสูติแพทย์และอายุรแพทย์อย่างใกล้ชิด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก:
นพ.พูลศักดิ์ ไวความดี แพทย์เฉพาะทางสาขาสูติ-นรีเวชวิทยา
ผู้ชำนาญการด้านภาวะมีบุตรยากและผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ