นโยบายการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล
1. จุดประสงค์
บริษัท รักลูก พลัส จำกัด (“บริษัท”) ตระหนักถึงความสำคัญของการให้ความเคารพต่อความเป็นส่วนตัวของบุคคลและความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติต่อข้อมูลส่วนบุคคล (ตามนิยามด้านล่าง) โดยเหมาะสมและเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมาย ดังนั้น บริษัทจึงได้ประกาศออกนโยบายการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับบุคคลภายนอกฉบับนี้ (“นโยบาย”) เพื่อปกป้องสิทธิต่างๆของบุคคลภายนอกที่อาจเข้ามาเกี่ยวข้องกับบริษัท ที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (ตามนิยามด้านล่าง) และการบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคลโดยบริษัท และจะปฏิบัติตามมาตรการต่างๆที่จำเป็นและเหมาะสมทั้งหมดเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลตามที่ พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายและกฎระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล (โดยรวมให้เรียกว่า “กฎหมาย”) กำหนด
2. ขอบเขตการใช้งาน
2.1 นโยบายฉบับนี้ให้มีผลบังคับใช้ ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2564 แต่อาจได้รับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม บริษัทจะทำการพิจารณาถึงประสิทธิผลของนโยบายนี้เป็นครั้งคราว
2.2 นโยบายฉบับนี้ให้บังคับใช้แทนที่นโยบายและวิธีปฏิบัติงานอื่นทั้งหมดของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการประกาศมาก่อน (ในกรณีที่มี) เว้นแต่จะได้รับการยกเว้นเป็นอย่างอื่นโดยบริษัท
2.3 นโยบายฉบับนี้ให้บังคับใช้ร่วมกับเอกสารแบบฟอร์มความยินยอม กรุณาทำการศึกษาเอกสารแบบฟอร์มความยินยอมสำหรับผู้เข้าชมเว็บไซต์โดยละเอียด เพื่อให้เข้าใจถึงรายละเอียดของการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านภายใต้ฐานความยินยอม
3. ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
3.1 ข้อมูลส่วนบุคคลและการใช้งานประเภทต่างๆ
“ข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง ข้อมูลใดเกี่ยวกับบุคคลหนึ่ง ที่สามารถถูกใช้เพื่อบ่งชี้ถึงตัวบุคคลนั้น ไม่ว่าด้วยตัวข้อมูลชิ้นนั้นเองหรือเมื่อพิจารณาหรือใช้ร่วมกับข้อมูลอื่นที่มีอยู่ สำหรับการประมวลผลข้อมูลใด
“การประมวลผลข้อมูล” และคำอื่นที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน หมายถึง การปฏิบัติในรูปแบบใดต่อข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งรวมถึงการเก็บ โอน เปิดเผย ใช้ และการปฏิบัติในรูปแบบอื่นๆ
ตารางต่อไปนี้รวบรวมรายละเอียดของข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้ใช้หรืออาจใช้ในอนาคต และจุดประสงค์ในการใช้และรายละเอียดอื่นๆที่เกี่ยวข้อง กรุณาศึกษาตารางนี้โดยละเอียดเพื่อให้เข้าใจถึงวิธีที่บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ทั้งนี้ ตารางข้างล่างนี้ไม่ถือว่าเป็นตารางที่ครบถ้วน ถึงแม้บริษัทจะพยายามอย่างเต็มที่ในการรวบรวมรายละเอียดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล |
วัตถุประสงค์ |
ข้อมูลส่วนบุคคล |
ระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูล |
ผู้เข้าชมเว็บไซต์ |
เพื่อสำรวจความนิยมในการใช้บริการ อันจะเป็นประโยชน์ในการนำสถิติไปใช้ ในการปรับปรุงคุณภาพ ในการให้บริการเว็บไซต์ และโซเชียลมีเดีย ทำให้ท่านสามารถใช้งานได้ตรงกับพฤติกรรมของท่าน เพื่อสนับสนุนการส่งมอบบริการ โฆษณา สิทธิพิเศษ กิจกรรมด้านการตลาด |
|
15 วัน |
บุคคลภายนอก |
เพื่อวัตถุประสงค์ทางการบริหารจัดการกิจกรรมต่างๆ ของบริษัท ซึ่งกระทำการภายใต้ฐานสัญญา และ/หรือ ความชอบธรรม และ/หรือ ความจำเป็นทางกฎหมาย ดังต่อไปนี้: เพื่อนำเสนอขายผลิตภัณฑ์และบริการ จัดสัมนาความรู้และฝึกอบรม งานกิจกรรมภาคประชาชนและเอกชน งานกิจกรรมที่จัดร่วมกับภาครัฐ และกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องกับงานของบริษัท การจ่ายเงินสำหรับค่าตอบแทน และค่าบริหารจัดการต่างๆ การออกจดหมายยืนยัน และใบประกาศ การติดต่อบุคคลต่างๆ ในกรณีฉุกเฉิน การเก็บรูปภาพและวิดีโอสำหรับงานต่างๆ |
|
10 ปี |
3.2 รูปแบบการใช้งาน
บริษัทอาจเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในรูปแบบเอกสารอีเล็คทรอนิค หรือในรูปแบบอื่น ตามที่บริษัทจะเห็นสมควร บริษัทจะดำเนินการโดยดีที่สุดที่จะเก็บรักษาไฟล์ข้อมูลและเอกสารต่างๆ ด้วยระบบความปลอดภัยที่เหมาะสม
3.3 ความยินยอมและการยกเลิกความยินยอม
(i) บริษัทจะทำการเก็บความยินยอมจากท่าน (ผ่านเอกสารแบบฟอร์มความยินยอม) ก่อนที่จะทำการเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านซึ่งต้องใช้ฐานความยินยอม
(ii) ท่านอาจเพิกถอนความยินยอมของตนได้ (แต่ไม่อาจเพิกถอนความยินยอมย้อนหลังได้) ด้วยการแจ้งแก่บริษัทเป็นหนังสือล่วงหน้าอย่างน้อย 14 วัน การสื่อสารจากท่านถึงบริษัทสำหรับการเพิกถอนความยินยอมนั้นจะต้องส่งตรงถึงเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท (Data Protection Officer) ตามรายละเอียดด้านล่าง อย่างไรก็ตาม ท่านพึงตระหนักว่าการเพิกถอนความยินยอมนั้นอาจส่งผลต่อการดำเนินงานบางอย่าง ซึ่งบริษัทจะทำการพิจารณาและจะแจ้งแก่ท่านก่อนการเพิกถอนนั้นจะมีผลบังคับใช้หรือโดยเร็วที่สุดหลังการเพิกถอนมีผลบังคับใช้ บริษัทจะหยุด (และจะดำเนินการให้บุคคลอื่นที่ดำเนินการแทนบริษัทหยุด) การเก็บรักษา ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านนั้น เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทจำเป็นต้องปฏิบัติตามหรือมีอำนาจกระทำการได้ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
3.4 การเพิ่มเติมและแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล
(i) ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่จะส่งมอบให้แก่บริษัทต้องเป็นข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับท่านเองหรือบุคคลอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับท่าน ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงใดต่อข้อมูลส่วนบุคคล ท่านจะต้องบอกกล่าวต่อเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือบุคลากรอื่นใดที่ได้ถูกมอบหมายให้ดำเนินงานเกี่ยวกับเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล ภายใน 7 วันหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงในข้อมูลส่วนบุคคลนั้น
(ii) บริษัทจะทำการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยเร็วที่สุดและจะแจ้งแก่ท่านเมื่อได้ดำเนินการแก้ไขสำเร็จลุล่วงแล้ว และในกรณีที่ไม่สามารถแก้ไขได้ภายใน 30 วัน หลังจากที่ได้รับคำร้องขอจากท่าน บริษัทจะแจ้งแก่ท่านถึงระยะเวลาที่บริษัทจะทำการแก้ไขให้สำเร็จลุล่วง
3.5 การโอนและแชร์ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
(i) ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจถูกเปิดเผยต่อบริษัทในเครือของบริษัทหรือบริษัทอื่นที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก เพื่อจุดประสงค์เดียวกันตามที่กล่าวข้างต้นหรือตามที่กฎหมายใดกำหนดไว้หรือตามความจำเป็นทางธุรกิจ ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งอาจรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงแค่ การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในด้านธุรกิจ กฎหมาย หรือข้อกำหนดอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานต่างๆของบริษัท ในกรณีดังกล่าว มาตรฐานความปลอดภัยสำหรับการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ถูกโอนไปนั้น จะสูงเท่ากับมาตรฐานของบริษัท
(ii) บริษัทอาจโอนข้อมุลส่วนบุคคลของท่านไปยังผู้ให้บริการนอกเครือข่าย เพื่อให้ผู้ให้บริการเหล่านั้นดำเนินกิจกรรมบางอย่างแทนบริษัท เช่น การจัดงาน การประมวลผลข้อมูล และการให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ซึ่งในกรณีนั้นกฎหมายได้กำหนดไว้ว่าบริษัทต้องทำหรือบริษัทมีฐานความชอบธรรมในการดำเนินงาน ในกรณีดังกล่าว มาตรฐานความปลอดภัยสำหรับการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ถูกโอนไปนั้น จะสูงเท่ากับมาตรฐานของบริษัท
(iii) สำหรับการโอนข้อมูลไปยังต่างประเทศและการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลในต่างประเทศ ตามที่ได้กล่าวข้างต้น ถ้าบริษัทมีฐานสัญญา บริษัทจะใช้ฐานนี้ในการโอนและการประมวลผลดังกล่าว อย่างไรก็ดี สำหรับการโอนและการประมวลผลภายใต้ฐานอื่นนอกเหนือจากฐานสัญญา บริษัทจะใช้ความยินยอมที่ท่านได้ให้ไว้ภายใต้แบบฟอร์มความยินยอมสำหรับบุคคลภายนอก (ถ้ามี)
3.6 ช่วงเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล
(i) บริษัทจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามเท่าที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ทางกฎหมาย และ/หรือ ธุรกิจ และบริษัทจะเลิกเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านทันทีที่บริษัทได้พิจารณาแล้วว่าไม่มีจุดประสงค์ใดในการเก็บข้อมูลนั้นต่อไปอีก และการเก็บรักษานั้นไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมาย และ/หรือ ความจำเป็นทางธุรกิจ ในปัจจุบันนโยบายของบริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปอีก 10 ปีหลังจากการติดต่อกันครั้งสุดท้าย ซึ่งจะเป็นไปตามนโยบายการเก็บรักษาและทิ้งเอกสาร และกฎหมายและกฎระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้อง
(ii) บริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบในกรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ซึ่งไม่เป็นไปตามนโยบายฉบับปัจจุบัน หรือเนื่องจากเป็นกรณีที่ท่านควรต้องรับรู้เป็นกรณีพิเศษ
4. เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
รายละเอียดของเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท เป็นดังต่อไปนี้: ติดต่อ raklukedigital@rlg.co.th
5. สิทธิของท่าน
5.1 สิทธิที่จะได้รับการบอกกล่าว: ถ้าหากบริษัทต้องการที่จะเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ไม่ว่าในรูปแบบใด ที่เกินกว่าขอบเขตของความยินยอมที่ท่านได้เคยให้ไว้ หรือขอบเขตที่ได้เคยแจ้งแก่ท่านแล้วในเอกสารนโยบายฉบับนี้ บริษัทจะแจ้ง และ/หรือ ขอความยินยอมล่วงหน้าจากท่านสำหรับขอบเขตการใช้งานที่เพิ่มขึ้นนั้น
5.2 สิทธิเข้าถึง: ท่านอาจร้องขอเมื่อใดก็ได้ที่จะเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองเพื่อตรวจสอบ และสามารถร้องขอให้บริษัทบอกถึงแหล่งที่มาและวิธีการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของตนเหล่านั้น
5.3 สิทธิในการทำซ้ำ: ท่านอาจร้องขอให้บริษัททำซ้ำข้อมูลส่วนบุคคลของตน โดยทำซ้ำลงบนสื่อที่บริษัทสามารถจัดหาให้ได้เป็นการทั่วไป
5.4 สิทธิการโอนข้อมูล: ท่านอาจร้องขอให้บริษัทโอนข้อมูลส่วนบุคคลของตนให้แก่บุคคลหรือองค์กรใด ภายใต้รูปแบบที่เหมาะสมและที่ผู้รับข้อมูลสามารถรับและจัดการได้
5.5 สิทธิการแก้ไขข้อมูล: ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงในข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลส่วนบุคคลได้รับการปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยมากขึ้น ท่านมีหน้าที่ต้องแจ้งแก่บริษัทเพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกต้อง ทันสมัย ครบถ้วน และไม่ก่อให้เกิดความงุนงง โดยการแจ้งเพื่อร้องขอให้บริษัทแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้วิธีปฏิบัติที่บริษัทจะได้ประกาศขึ้น หน้าที่ของท่านนี้ให้ถือเป็นสิทธิของท่านด้วย
5.6 สิทธิที่จะยกเลิกความยินยอม: ท่านอาจยกเลิกความยินยอมเมื่อใดก็ได้ บริษัทอาจไม่ยอมรับการยกเลิกนี้เฉพาะในกรณีที่กฎหมายหรือสัญญาที่มีอยู่ไม่อนุญาตให้ยกเลิกความยินยอมได้ การยกเลิกความยินยอมของท่านจะไม่มีผลกระทบต่อการเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในอดีต ถ้าหากการยกเลิกความยินยอมนั้นจะมีผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิ และผลประโยชน์ใดของท่าน บริษัทจะทำการแจ้งแก่ท่านถึงผลกระทบนั้นก่อนการยกเลิกความยินยอมจะมีผลในกรณีที่ทำได้ หรือโดยเร็วที่สุดที่จะทำได้หลังการยกเลิกความยินยอมในกรณีอื่น
5.7 สิทธิที่จะขอให้ลบข้อมูล: ท่านอาจร้องขอให้บริษัทลบหรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของตนเป็นข้อมูลนิรนามภายใต้สถานการณ์ดังต่อไปนี้: (ก) ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไม่มีความจำเป็นต่อจุดประสงค์เดิมแล้ว (b) ท่านได้ยกเลิกความยินยอมแล้วและบริษัทไม่มีสิทธิอื่นใดตามกฎหมายที่จะเก็บ เก็บรักษา ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลนั้นอีกต่อไป (ค) ท่านคัดค้านการเก็บ เก็บรักษา ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลและบริษัทไม่มีเหตุผลอันชอบธรรมที่จะปฏิเสธการคัดค้านนั้น หรือ (ง) ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้ถูกเก็บ เก็บรักษา หรือเปิดเผยโดยผิดกฎหมาย อย่างไรก็ดี บริษัทอาจปฎิเสธการร้องขอของท่านถ้าหากการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลโดยบริษัทได้ถูกกระทำสำหรับจุดประสงค์ที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้ ซึ่งรวมถึงการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อจุดประสงค์ด้านการทำวิจัยด้านสถิติที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ดีพอ หรือเพื่อสร้างสิทธิเรียกร้องทางกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือกระทำการใดตามสิทธิทางกฎหมายหรือเพื่อป้องกันต่อสู้คดีความ
5.8 สิทธิที่จะระงับการใช้งาน: ท่านอาจร้องขอให้บริษัทระงับการใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในสถานการณ์ดังต่อไปนี้: (ก) ในขณะที่ท่านกำลังตรวจสอบเพื่อแก้ไขหรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกต้องทันสมัย (ข) เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่านกำลังอยู่ในระหว่างการถูกลบทิ้ง แต่ท่านเลือกที่จะระงับการใช้งานแทน (ค) เมื่อไม่มีความจำเป็นที่บริษัทจะต้องเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไป แต่ท่านร้องขอให้บริษัทเก็บรักษาข้อมูลต่อไปเพื่อสร้างสิทธิร้องเรียนทางกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือกระทำการใดตามสิทธิทางกฎหมายหรือเพื่อป้องกันต่อสู้คดีความ หรือ (ง) เมื่อบริษัทอยู่ในระหว่างการตรวจสอบความชอบธรรมของบริษัท ซึ่งทำเพื่อปฎิเสธการคัดค้านของท่าน หรือเพื่อการเก็บ เก็บรักษา ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล สำหรับจุดประสงค์ต่างๆซึ่งรวมถึงการทำวิจัยด้านสถิติตามที่กฎหมายอนุญาต
5.9 สิทธิคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล: ท่านอาจคัดค้านการเก็บ เก็บรักษา ใช้ หรือเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านภายใต้สถานการณ์ดังต่อไปนี้: (ก) ในกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกเก็บสำหรับจุดประสงค์ (i) ผลประโยชน์สาธารณะ (ii) การที่บริษัทจะทำตามข้อบังคับของหน่วยงานภาครัฐ หรือ (iii) ความชอบธรรมของบริษัทหรือองค์กรอื่น (ซึ่งบริษัทอาจคัดค้านคำขอประเภทนี้ ถ้าหาก (กก) การคัดค้านของท่านจะก่อให้เกิดการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย หรือ (ขข) การกระทำนั้นเกี่ยวข้องกับการสร้างสิทธิเรียกร้องทางกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือกระทำการใดตามสิทธิตามกฎหมายหรือเพื่อป้องกันต่อสู้คดีความ (ข) ในกรณีที่บริษัทได้เก็บ เก็บรักษา ใช้ หรือเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อจุดประสงค์ในการทำการตลาดแบบตรง หรือ (ค) ในกรณีที่บริษัทได้เก็บ เก็บรักษา ใช้ หรือเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อจุดประสงค์การทำวิจัยต่างๆที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งรวมถึงเพื่อจุดประสงค์ทางสถิติ