ภาวะ “ครรภ์เป็นพิษ” หนึ่งในโรคแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เป็นอาการผิดปกติที่สร้างความวิตกกังวลให้แม่ท้องอย่างมาก เพราะมีความเสี่ยงสูงที่เป็นอันตรายต่อแม่ท้องและลูกน้อยในครรภ์ เรามาเข้าใจภาวะครรภ์เป็นพิษกันสักหน่อย เพื่อจะได้รับมือและดูแลครรภ์ได้อย่างถูกต้องค่ะ
ครรภ์เป็นพิษ หรือ Toxemia เป็นคำเรียกกลุ่มของอาการซึ่งประกอบด้วยภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Pregnancy Induced Hypertension) และการตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะของคุณแม่ตั้งครรภ์ค่ะ ครรภ์เป็นพิษเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยประมาณ ร้อยละ 10 ของหญิงตั้งครรภ์ และเป็นสาเหตุการตายของมารดาเป็นอันดับ 2 รองจากการตกเลือดหลังคลอด
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เชื่อว่าน่าจะเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น จากการศึกษาวิจัยพบว่ากลไกในการสร้างสารเคมีที่มีชื่อว่า พรอสตาแกลนดิน มีส่วนทำให้ความดันโลหิตสูงผิดปกติ สารพรอสตาแกลนดินบางตัวทำให้หลอดเลือดขยายตัว บางตัวทำให้หลอดเลือดบีบตัว คุณแม่ที่เกิดครรภ์เป็นพิษจะสร้างพรอสตาแกนดินที่ทำให้เส้นเลือดบีบตัวมากกว่า ทำให้แรงดันในหลอดเลือดที่มีความตีบตัวสูงขึ้นมาก และเส้นเลือดดังกล่าวยังปล่อยน้ำที่อยู่ในหลอดเลือดให้รั่วซึมออกนอกเส้นเลือดได้ง่ายอีกด้วย
นอกจากนั้นยังมีการกล่าวถึงการถ่ายทอดทางพันธุกรรม การสร้างฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์ที่มากกว่าปกติ และปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน ปัจจุบันแพทย์และนักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาและวิจัยเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับสาเหตุของโรคนี้ค่ะ
เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงไม่สามารถตอบได้ชัดเจนว่าคุณแม่ท่านใดที่เสี่ยง แต่อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า ภาวะนี้มักพบในคุณแม่ที่มีอายุมากกว่า 35 ปี หรือน้อยกว่า 20 ปี มักพบในการตั้งครรภ์ครั้งแรก มีประวัติภาวะนี้ในครอบครัว เช่น มารดา พี่สาว และน้องสาว การตั้งครรภ์แฝด การตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก หรือมีโรคเบาหวานร่วมด้วย คุณแม่ที่เข้าข่ายนี้จึงควรรีบฝากครรภ์และพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
เมื่อหลอดเลือดตีบ แคบ และรั่วง่าย อวัยวะต่างๆ ได้รับเลือดไปเลี้ยงน้อยลง ไตทำงานลดลงทำให้ประสิทธิภาพในการขับของเสียออกจากร่างการลดลง เกิดการคั่งของของเสีย ปัสสาวะออกน้อยลง หากไม่ได้รับการรักษาไตจะวายได้ ตับจะขาดเลือดไปเลี้ยง อาจพบมีเลือดออกในเยื่อหุ้มตับ มีน้ำคั่งในถุงลมปอด ทำให้หายในลำบาก มีน้ำคั่งใต้ผิวหนังทำให้เกิดอาการบวมที่ปลายมือ ปลายเท้า หน้า และเปลือกตา ในรายที่เป็นมากอาจเกิดอาการชัก มีเลือดออกในสมอง และอาจเสียชีวิตได้ค่ะ
เนื่องจากเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณมดลูกลดลง ทำให้เกิดภาวะทารกเติบโตช้าในครรภ์ได้ ในรายที่เป็นรุนแรงทารกอาจเสียชีวิตในครรภ์ได้
การรักษาโรคนี้ดีที่สุดคือ ทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงหรือการยุติการตั้งครรภ์ เพราะอาการต่างๆ เกิดจากการตั้งครรภ์ทั้งสิ้น ถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์ครบกำหนด หรือใกล้ครบกำหนดแล้ว คุณหมอจะตัดสินใจให้คุณแม่คลอดให้เร็วที่สุด ซึ่งหากคุณแม่มีอาการเจ็บครรภ์คลอดแล้วจะพิจารณาให้คลอดทางช่องคลอดก่อน แต่ถ้าหากลูกตัวใหญ่มาก หรือคุณแม่ไม่มีอาการเจ็บท้องเลย คุณหมอจะพิจารณาผ่าตัดคลอด
แต่หากโรคนี้เกิดในขณะที่อายุครรภ์ยังน้อยหรือยังไม่ครบกำหนด การรักษาโดยการให้คลอดเลยอาจมีปัญหากับลูกได้เนื่องจากลูกยังตัวเล็กมากมีน้ำหนักน้อย การทำงานของปอดยังไม่ดีพอ ซึ่งเสี่ยงมากที่ลูกอาจเสียชีวิตได้ การรักษาสำหรับคุณแม่กลุ่มนี้จึงต้องการการดูแลจากคุณหมออย่างใกล้ชิด ซึ่งคุณหมอจะพยายามประคับประคองให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง โดยการให้ยาป้องกันการชัก ให้ยาลดความดันโลหิต ให้ยากระตุ้นการทำงานของปอดลูก โดยหวังให้การทำงานของปอดลูกสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ยกเว้นว่าไม่สามารถประคับประคองให้ตั้งท้องต่อไปได้ เช่น มีความรุนแรงของโรคมากขึ้นจนควบคุมไม่ได้ และจะส่งผลร้ายทั้งคุณแม่และลูก คุณหมอจะพิจารณาผ่าตัดคลอดทันที
เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์พบอาการครรภ์เป็นพิษที่กล่าวมา ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาดูแลแย่างเร่งด่วนเลยนะคะ เพราะหากไม่ทันการอาจมีความเสี่ยงสูงมากที่จะตกเลือด แท้ง หรือ เสียชีวิตทั้งคู่ ซึ่งเราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นค่ะ เป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกคนตั้งครรภ์สุขภาพและคลอดอย่างปลอดภัยค่ะ