จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกในท้องไม่โต ทารกในครรภ์มีพัฒนาการผิดปกติ
ทารกในครรภ์ไม่โต มีพัฒนาการผิดปกติจนส่งผลต่อการคลอด คุณแม่ตั้งครรภ์จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกในท้องไม่โต เราสามารถเช็กได้จากการตรวจสุขภาพครรภ์ตามอายุครรภ์ เพื่อเช็กการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังต่อไปนี้ค่ะ
รู้ทันพัฒนาการทารกในครรภ์ ว่าเติบโตเป็นปกติหรือไม่
- ฮอร์โมนการตั้งครรภ์: ช่วงการตั้งครรภ์ 3-4 เดือนแรก เมื่อลูกในท้องมีพัฒนาการมากขึ้น จะมีการสร้างฮอร์โมนการตั้งครรภ์ ซึ่งคุณแม่จะแสดงอาการที่เกิดจากฮอร์โมนออกมา เช่น เจ็บเต้านม ปัสสาวะบ่อย อารมณ์เปลี่ยนแปลง หงุดหงิดมากขึ้น อาการแพ้ท้อง เป็นต้น
- นับจังหวะลูกดิ้น: คุณแม่ท้องแรกจะเริ่มรู้สึกว่าลูกดิ้นตอนอายุครรภ์ 18 สัปดาห์ ถ้าเป็นท้องสองจะเริ่มรู้สึกว่าลูกดิ้นตอนอายุครรภ์ 16 สัปดาห์ แต่คุณแม่จะรู้สึกว่าลูกดิ้นจนนับจังหวะได้ชัดเจนตอนอายุครรภ์ได้ 20 สัปดาห์หรือไตรมาสที่ 2 ไปแล้ว
เทคนิคในการนับลูกดิ้น คือ ใน 12 ชั่วโมง ลูกควรจะดิ้นเกิน 10 ครั้ง เช่น 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม ถ้าลูกดิ้นเกิน 10 ครั้ง ก็แสดงว่าปกติค่ะ ถ้าวันไหนที่รอดูมาทั้งวันแล้วรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยดิ้นเลย อาจเป็นเพราะลูกกำลังหลับอยู่ คุณแม่ลองดื่มน้ำผลไม้ แล้วรอประมาณ 1 ชั่วโมง พอลูกตื่น เขาจะดิ้นจนคุณแม่รู้สึกได้ ซึ่งถ้าลองทำวิธีเหล่านี้แล้ว ลูกยังดิ้นน้อยอยู่จะต้องมาพบแพทย์ค่ะ
- น้ำหนักตัวแม่ตั้งครรภ์บอกพัฒนาการทารกในครรภ์: น้ำหนักของคุณแม่จะเป็นสิ่งที่บอกว่าลูกได้รับสารอาหารและออกซิเจนเพียงพอหรือไม่ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ประมาณ 10-15 กิโลกรัมตลอดการตั้งครรภ์
- ดูจากยอดมดลูก: เมื่อมีการตั้งครรภ์ มดลูกจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสามารถดูพัฒนาการของลูกน้อยได้จากการขยายตัวของมดลูก
- เมื่ออายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ยอดมดลูกจะอยู่เหนือกระดูกหัวเหน่า โดยแบ่งส่วนที่ต่ำกว่าสะดือเป็น 3 ส่วน
- เมื่ออายุครรภ์ 16 สัปดาห์ ยอดมดลูกจะอยู่เหนือกระดูกหัวเหน่าประมาณ 1 ใน 3 และจะเริ่มสูงประมาณ 2 ใน 3 เหนือกระดูกหัวเหน่า เมื่ออายุครรภ์ 20 สัปดาห์ และจะอยู่ตรงสะดือพอดีเมื่ออายุครรภ์ 24 สัปดาห์
- เมื่ออายุครรภ์ 28 สัปดาห์ ยอดมดลูกจะสูงประมาณ 1 ใน 4 เหนือสะดือ จากนั้นจะสูง 2 ใน 4 เมื่ออายุครรภ์ 32 สัปดาห์ สูงประมาณ 3 ใน 4 เมื่ออายุครรภ์ 36 สัปดาห์ และจะอยู่สูงสุดคือ 4 ใน 4 หลังจาก 37 สัปดาห์
หากเป็นท้องแรกเมื่อศีรษะเด็กเข้าสู่อุ้งเชิงกราน ช่วงนั้นท้องก็จะเริ่มลดลง ซึ่งวิธีสังเกตยอดมดลูกนี้ แพทย์จะเป็นผู้ประเมินเวลาที่คุณแม่มาตรวจอัลตราซาวนด์ค่ะ
5 วิธีปฏิบัติสำหรับแม่ตั้งครรภ์ เมื่อทารกในครรภ์มีพัฒนาการช้า ลูกในท้องไม่โต
- พบแพทย์เพื่อประเมินหาสาเหตุที่ลูกในท้องไม่พัฒนาตามอายุครรภ์ ซึ่งเกิดขึ้นได้จาก 3 สาเหตุหลัก คือ
- คุณแม่มีความผิดปกติ เช่น มีโรคประจำตัวอย่างโรคเบาหวาน เกิดความผิดปกติที่เส้นเลือดทำให้อาหารส่งไปถึงลูกได้น้อยลง หรือคุณแม่ที่น้ำหนักขึ้นไม่ค่อยตามเกณฑ์ น้ำหนักน้อยหรือมีประวัติได้รับยา หรือสารอันตราย เช่น สูบบุหรี่จัด ดื่มเหล้า ใช้สารเสพติด เป็นต้น
- รกและสายสะดือผิดปกติ เช่น มีปัญหารกลอกตัวก่อนกำหนด เส้นเลือดบริเวณใต้รกฉีกขาด รกเสื่อมสภาพ
- เกิดจากความผิดปกติของลูก เช่น มีความผิดปกติของโครโมโซม มีการติดเชื้อไวรัส หรือมีความพิการแต่กำเนิด ซึ่งเมื่อทราบสาเหตุแล้วคุณหมอจะแก้ไขที่สาเหตุ ร่วมกับการปรับเปลี่ยนโภชนาการและพฤติกรรมของคุณแม่
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และควรเพิ่มพลังงานจากอาหารวันละ 300 กิโลแคลลอรี เมื่อไปฝากครรภ์ทางโรงพยาบาลจะมีทีมโภชนาการคอยดูแล ซึ่งนักโภชนาการจะวิเคราะห์ว่าคุณแม่กินอาหารไปเท่าไหร่ และเพียงพอหรือไม่
- ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 8-10 ชั่วโมง นอนกลางวันประมาณ ½ -1 ชั่วโมง เป็นต้น
- ทำตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น การนับลูกดิ้นใน 12 ชั่วโมง ควรจะเกิน 10 ครั้ง เป็นต้น
- พบตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ หากคุณแม่มีอาการผิดปกติ ควรได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อการป้องกันแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ควรสังเกตอาการและดูแลครรภ์อย่างเหมาะสม เพื่อพัฒนาการของลูกน้อยที่ปกตินะคะ
เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์: พญ.ธิศรา วีรสมัย สูติแพทย์ โรงบาลพญาไท1