แม่ท้องต้องรู้ ! สัญญาณที่อาจทำให้ทารกเกิดมาผิดปกติ
สำหรับคุณแม่ท้อง สิ่งที่คาดหวังมากที่สุดคือการให้ลูกเกิดมาสมบูรณ์แข็งแรง ครบ 32 ประการ แต่จากข้อมูลของสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีระบุว่า ประเทศไทยมีทารกเกิดใหม่ถึงปีละ 7 แสนคน โดยมีทารกที่เกิดก่อนกำหนดประมาณ 1 แสนคน และอัตราการเสียชีวิตของเด็กแรกคลอดอยู่ที่ 6.7 คนใน 1 พันคน เป็นอันดับ 3 ของอาเซียน เมื่อเรารู้ข้อมูลมาแบบนี้แล้ว เรามาดูกันเลยค่ะว่าคุณแม่คนไหนบ้างที่มีความเสี่ยงที่ลูกจะเกิดมาผิดปกติ เพื่อที่เราจะได้เตรียมรับมือได้
แบบไหนที่เรียกว่าการตั้งครรภ์เสี่ยง
- ตั้งครรภ์อายุมากกว่า 35 ปี
- มารดาอายุน้อยกว่า 16 ปี
- มีเลือดออกผิดปกติขณะตั้งครรภ์
- รกลอกตัวก่อนกำหนดคลอด หรือรกเกาะต่ำ
- ความดันโลหิตสูง เกิน 160 มม.ปรอทขึ้นไป
- โรคเบาหวาน
- มีการติดเชื้อ เช่น เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ
- โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE)
- ครรภ์แฝด
- ครรภ์เป็นพิษ
- น้ำคร่ำมากหรือน้อยเกินไป
- ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
ความผิดปกติของทารก
- ภาวะวิกฤติหรือความผิดปกติของทารกที่ต้องได้รับการดูแลรักษา ได้แก่
- ทารกคลอดก่อนกำหนด อายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์ (หรือหลังอายุครรภ์ 42 สัปดาห์)
- ทารกน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม หรือมากกว่า 4,000 กรัม
- ทารกมีน้ำหนักผิดปกติเมื่อเทียบกับอายุครรภ์
- ทารกแฝด
- ทารกตรวจพบความผิดปกติ เช่น ขาดออกซิเจน
- ทารกมีท่าผิดปกติในครรภ์ เช่น ท่าก้น ท่าขวาง
- ทารกเกิดความผิดปกติระหว่างคลอด
- ทารกพิการแต่กำเนิด
การดูแลทารกแรกเกิด
- การดูแลทารกแรกเกิดควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากกุมารแพทย์ ซึ่งการดูแลที่จำเป็น มีดังนี้
- การวัดสัญญาณชีพตลอด 24 ชั่วโมง
- การควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม
- การควบคุมและป้องกันการติดเชื้อ
- การดูแลรักษาระบบทางเดินหายใจ
- การเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน
- การเฝ้าระวังติดตามและการดูแลรักษาเฉพาะโรค
- การดูแลด้านโภชนาการ
- การดูแลด้านขับถ่าย
- การดูแลติดตามด้านพัฒนาการในระยะสั้นและระยะยาว
การดูแลเฉพาะทารกแรกเกิดวิกฤติ
- การช่วยกู้ชีพและให้ออกซิเจนทารก: เป็นการดูแลหลังจากทารกคลอดออกมา ซึ่งเด็กที่คลอดส่วนใหญ่จะหายใจเองได้ แต่มีเพียง 1% เท่านั้นที่ไม่สามารถหายใจได้เอง ซึ่งต้องการการกู้ชีพจึงต้องใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจเพื่อให้ทารกหายใจเองได้
- การปรับอุณหภูมิร่างกายทารก: โดยใช้ตู้อบช่วยให้ทารกมีอุณหภูมิเหมาะสมตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ควรอยู่ในช่วง 36.8-37.2 องศาเซลเซียส เพราะหากทารกแรกคลอดตัวเย็น อาจทำให้ความดันในปอดสูง เกิดปัญหาหายใจเร็วได้
- การควบคุมการติดเชื้อ: เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ เช่น แม่มีน้ำเดินก่อนคลอดนานกว่า 18 ชั่วโมง แม่มีเชื้อราในช่องคลอด แม่ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
- การให้สารน้ำ สารอาหาร และโภชนาการที่เหมาะสม: จะเน้นการให้นมแม่มากที่สุด แต่หากทารกมีภาวะเจ็บป่วย เช่น น้ำตาลต่ำ อาจต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นระยะ หรือในกรณีที่ทารกคลอดก่อนกำหนด หายใจเร็ว ไม่สามารถทานเองได้ก็จำเป็นที่จะต้องให้สารอาหารผ่านทางสายยางให้อาหารและสารน้ำทางเส้นเลือด เป็นต้น
การป้องกันไม่ให้ทารกเกิดมาผิดปกติ
ปัญหาทารกแรกเกิดวิกฤตินั้นสามารถป้องกันได้ หากคุณแม่ฝากครรภ์อย่างมีคุณภาพตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ เพื่อจะได้ตรวจสุขภาพคุณแม่คุณลูกและดูแลอย่างถูกต้องตามคำแนะนำของสูติ-นรีแพทย์และกุมารแพทย์ หากพบปัญหาจะได้วางแผนการคลอดและการดูแลรักษาได้โดยเร็ว
บทความโดย : พญ.อรวรรณ อิทธิโสภณกุล กุมารแพทย์สาขาทารกแรกเกิดและปริกำเนิด หน่วยดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติ โรงพยาบาลกรุงเทพ