ลูกเป็นต่อมทอลซิลอักเสบ อย่าปล่อยให้เรื้อรัง เพราะอาจลามไปโรคหัวใจได้
ต่อมทอนซิล เป็นอวัยวะที่อยู่ภายในลำคอ เป็นต่อมน้ำเหลืองที่ทำหน้าที่จับสิ่งแปลกปลอม เช่น แบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกาย คล้ายกองทหารด่านหน้า ซึ่งมักพบบ่อยในเด็กวัยเรียน ส่วนความรุนแรงของโรคนั้น อาการทั่วไปก็รักษาได้ไม่ยาก แต่ถ้าติดเชื้อเข้าก็มีอาการรุนแรงได้เช่นกัน
เชื้อไวรัสเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย ส่วนใหญ่กินยาและรักษาตามอาการ พักผ่อนให้เพียงพอ ลูกก็จะฟื้นตัวหายดีภายในระยะเวลาอันสั้น
เชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะที่เกิดจากเชื้อเบตา สเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ เด็กที่ป่วยจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะถ้าได้รับการรักษาไม่ถูกวิธี กินยาไม่ครบขนาด หรือใช้ยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงพอที่จะกำจัดเชื้อชนิดนี้ได้ แม้อาการจะทุเลาลงแต่ก็มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรงได้เช่นกัน
เชื้อเบตา สเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงต่อหัวใจของเด็ก โดยที่เชื้อนี้จะทำให้เกิดการอักเสบของข้อต่างๆ และมักมีอาการอักเสบของหัวใจร่วมด้วย เรียกว่า "ไข้รูมาติก"
โดยทั่วไปจะพบภายหลังคออักเสบหรือต่อมทอนซิลอักเสบแล้วไม่ได้รับการรักษาภายใน 1 - 4 สัปดาห์ ทั้งนี้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หรือปล่อยให้อาการกำเริบซ้ำๆ จะทำให้หัวใจอักเสบเรื้อรัง และในที่สุดหัวใจก็จะตีบและรั่ว หรือที่เรียกว่า "โรคหัวใจรูมาติก" บางรายอาจต้องได้รับการการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ (ซึ่งค่ารักษาแพงมาก) นอกจากนี้เชื้อกลุ่มนี้ยังทำให้เกิดอาการไตอักเสบได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
หลังจากแพทย์วินิจฉัยอาการ และสั่งยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อเบตา สเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ เช่น เพนิซิลิน อีริโทรมัยซิน คลาริโทรไมซิน ให้แล้ว ข้อสำคัญ คือ เด็กป่วยจะต้องกินยาต่อเนื่อง 7 - 10 วันจนครบ แม้อาการจะทุเลาแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดไข้รูมาติก หรือไตอักเสบแทรกซ้อน
เช็ดตัว ร่วมกับการให้ยาลดไข้เมื่อมีไข้สูง
พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ
กินอาหารรสอ่อน ๆ และดื่มน้ำหวานบ่อยๆ เนื่องจากเด็กจะเจ็บคอมากทำให้กินได้น้อย
กลั้วคอทำความสะอาดด้วยน้ำเกลือ วันละ 2 - 3 ครั้ง
หากคนที่บ้านหรือเด็กๆ มีไข้ เจ็บคอมาก ให้นึกถึงโรคคออักเสบ หรือต่อมทอนซิลอักเสบไว้ด้วยเสมอ และควรรีบไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ และปฏิบัติตนตามคำแนะนำในการใช้ยาอย่างเคร่งครัด
แม้ว่าอาการคออักเสบ และต่อมทอนซิลอักเสบ จะเป็นความผิดปรกติที่ไม่รุนแรงต่อสุขภาพมากนัก แต่หากทิ้งไว้ก็อาจเป็นสาเหตุเริ่มต้นของ "ไข้รูมาติก" และ "โรคหัวใจรูมาติก" ดังนั้นถ้าเด็กๆ ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี และปฏิบัติตนตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด โอกาสที่จะเกิดความผิดปกติทั้งสองอาการที่กล่าวมาก็จะเป็นไปได้ยาก ที่สำคัญอย่าซื้อยากินเองเด็ดขาดเด็ดขาด
ที่มา : ศ.พญ.นวลอนงค์ วิศิษฏสุนทร ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล