เคยได้ยินมาตลอดเกี่ยวกับนโยบายเรียนฟรี 15 ปี แต่คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่าในปีแต่ละปีนั้นรัฐจ่ายอะไรให้กับการศึกษาของลูกเราบ้าง และแต่ละปี เด็กจะได้รับการสนับสนุนเท่าไหร่ เรามาดูกันค่ะ
กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ ซึ่งแต่ละปีการศึกษาจะมีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนใน 5 หมวด ได้แก่
ค่าเล่าเรียน แบ่งเป็น
ก. การศึกษาในระบบ ที่เด็กนักเรียนจะได้รับการสนับสนุนต่อหัวอยู่ที่
หมายเหตุ :
กระทรวงศึกษาธิการฯ จะจัดสรรงบประมาณค่าหนังสือเรียนให้สถานศึกษาเป็นผู้บริหารจัดการเอง แต่ต้องกำหนดวิธีการให้ถูกต้องตามระเบียบของราชการ และให้มีการทำระบบหนังสือยืมเรียนเพื่อส่งต่อให้นักเรียนรุ่นต่อรุ่น หากหนังสือขาดหรือหายก็ต้องมีคณะกรรมการดำเนินการพิจารณาคัดเลือกหนังสือใหม่เพิ่มเข้ามา สำหรับเกณฑ์ของเงินที่จะจัดสรรเป็นค่าหนังสือเรียนตามรายหัว ต่อปี โดย
ในส่วนนี้พ่อแม่สามารถนำใบเสร็จจากการซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ของลูกมาเป็นหลักฐานในการเบิกเงินสดได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วหลายๆ โรงเรียนจะจัดสรรให้นักเรียนตามงบประมาณที่ได้แล้ว ได้แก่ แบบฝึกหัด สมุด ดินสอ ปากกา ยางลบ เครื่องมือเรขาคณิต วัสดุฝึกด้านคอมพิวเตอร์ (เช่น แผ่นซีดี) กระดาษ A4 สีเทียน ดินน้ำมัน เป็นต้น
สำหรับเกณฑ์ของเงินที่จะจัดสรรเป็นค่าอุปกรณ์การเรียนตามรายหัว มีดังนี้
กระทรวงศึกษาธิการจัดสรรงบประมาณให้สถานศึกษาดำเนินการจัดทำบัญชีจ่ายเงินสดให้แก่ผู้ปกครองนักเรียนตามเกณฑ์ค่าใช้จ่ายรายหัว โดยผู้ปกครองและนักเรียนเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดซื้อเครื่องแบบนักเรียนด้วยตนเอง และให้นำใบเสร็จรับเงินที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าเงินสดนั้น มาเป็นหลักฐานแสดงกับสถานศึกษา โดยมีการตรวจสอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาและภาคี 4 ฝ่ายอีกชั้นหนึ่ง
สำหรับเกณฑ์ของเงินที่จะจัดสรรเป็นค่าเครื่องแบบนักเรียนตามรายหัว ดังนี้
ทั้งนี้ เครื่องแบบนักเรียนจำกัดให้เด็ก คนละ 2 ชุดต่อปี ตามราคามาตรฐาน หากพ่อแม่ซื้อเครื่องแบบนักเรียนที่มีราคาสูงกว่าก็ต้องจ่ายส่วนต่างนั้นไป
ค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
กระทรวงศึกษาธิการได้จัดสรรงบประมาณให้สถานศึกษา สำหรับบริหารจัดการกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนได้เองตามวัตถุประสงค์ใน 4 กิจกรรม ได้แก่
ส่วนเกณฑ์ของเงินที่จะจัดสรรเป็นค่ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน มีดังนี้
สำหรับโรงเรียนเอกชน เด็กๆ นักเรียนโรงเรียนเอกชนก็ได้รับการสับสนุนเช่นเดียวกับเด็กโรงเรียนของรัฐค่ะ แต่คุณพ่อคุณแม่อาจต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่มมากกว่าโรงเรียนรัฐบาลสักหน่อยค่ะ
ที่มา : กระทรวงศึกษาธิการ, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน