ช่วงนี้ในโลกสื่อสังคมออนไลน์ของไทย โดยเฉพาะของกลุ่มบรรดาคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กวัยเตาะแตะที่เพิ่งจะส่งเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาลและโรงเรียนอนุบาลคงจะเต็มไปด้วยข่าวของเด็กอายุประมาณ 3 ขวบที่กำลังน่ารักและไม่ปรากฏว่ามีโรคประจำตัวอะไรมาก่อน อยู่ๆก็มีอาการไข้และเจ็บคอ จากนั้นเพียง 1-2 วันก็ต้องเข้าโรงพยาบาลและอาการทรุดลงอย่างรวดเร็วและเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันต่อมา
ทั้งนี้ในตอนแรกรับพบว่าผลการตรวจวินิจฉัยทางเลือดและทางสิ่งคัดหลั่ง รวมถึงเยื่อบุในโพรงจมูกและในคอเพื่อหาไวรัสทางเดินหายใจ เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ไม่พบเชื้อ แต่ ต่อมาภายหลังผลการตรวจวินิจฉัยพิเศษด้านพันธุกรรมของไวรัส (PCR) รายงานว่าพบเชื้อเอนเทอโรไวรัสสายพันธุ์71 (Enterovirus 71 หรือ EV71) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบว่ามีความรุนแรงในการทำให้เกิดอัตราการตายในเด็กที่ป่วยด้วยโรคมือเท้าปากได้ค่อนข้างมาก
ด้วยเหตุนี้จึงมีคำถามตามมามากมายว่า คุณพ่อคุณแม่จะมีทางใดที่จะรู้ว่าลูกรักกำลังป่วยด้วยโรคนี้ และจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้ไหม อีกทั้งมีวิธีใดที่จะป้องกันหรือรักษาให้หายโดยไม่เกิดเรื่องร้ายแรงต่างๆนี้ได้ไหม ซึ่งหมอขออนุญาตรวบรวมคำถามและคำตอบต่างๆมาให้ไว้ที่นี้
1. โรคมือเท้าปากที่คิดว่าเป็นโรคธรรมดาๆ ทำไมตอนนี้ฟังดูน่ากลัวจัง โดยเฉพาะที่ว่ามีเด็กเสียชีวิตด้วย
แม้ว่าในทุกๆปีจะมีการระบาดของโรคมือเท้าปาก และเด็กที่ป่วยส่วนใหญ่ก็มีอาการไม่มากและหายเองได้ แต่บางครั้งบางคราวก็พบว่ามีรายที่เป็นหนักและต้องเข้าหออภิบาลผู้ป่วยหนัก เหตุที่ฟังดูน่ากลัวเพราะมีการเสียชีวิตอย่างค่อนข้างรวดเร็วเนื่องจากเชื้อบางสายพันธุ์จะมีความดุเป็นพิเศษ เช่นเชื้อ Enterovirus71 (EV71)แม้แต่เชื้อ Coxsackie A16ที่อาจดูว่าไม่ดุส่วนใหญ่ที่เป็นมักจะหายเอง ก็มีรายงานเด็กเสียชีวิตได้เช่นกัน
ทั้งนี้พบว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยที่เพิ่งหายจากการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์หนึ่งๆ อาจไม่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อจากไวรัสสายพันธุ์อื่นๆแม้จะจัดว่าอยู่ในกลุ่มย่อยของเอนเทอโรไวรัสเช่นเดียวกัน จึงพบว่าเด็กหลายคนจะมีโอกาสเป็นโรคมือเท้าปาก ได้หลายครั้งในช่วงฤดูกาลระบาดของเชื้อนี้ในแต่ละปี ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าในช่วงเวลานั้นๆจะมีเชื้อไวรัสพันธุ์ดุหรือพันธุ์ธรรมดาระบาดเป็นส่วนใหญ่และขึ้นอยู่กับปัจจัยเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันที่ผู้ป่วยคนนั้นๆจะมีต่อเชื้อไวรัสนั้นๆด้วย ว่าจะสามารถต้านทานการรุกรานของเชื้อไวรัสนี้ในร่างกายได้ดีแค่ไหน
2. อาการของรายที่เป็นรุนแรงจะมีลักษณะพิเศษอะไรที่จะทำให้แยกจากรายที่เป็นไม่รุนแรงได้
ในรายที่เป็นโรคมือเท้าปาก ในช่วงวันแรกๆอาจดูไม่ค่อยมีอาการผิดปกติอะไรมาก นอกจากเจ็บปาก มีแผลในปากโดยจะเห็นเป็นแผลเล็กๆหลายจุดในส่วนเพดานปากด้านในใกล้ทอนซิล และอาจมีไข้ร่วมด้วย ต่อมาจะเริ่มเห็นจุดน้ำใสๆตามฝ่ามือฝ่าเท้า และบางครั้งจะเห็นตามตัวเช่น บริเวณก้นในรายที่เป็นไม่มากและไม่มีโรคแทรกซ้อนอื่นมักจะดีขึ้นเองในช่วง 4-5 วันต่อมา แต่แม้ว่าเด็กทำท่าว่าจะดีขึ้นแล้ว ก็ยังมีโอกาสเกิดปัญหาแทรกซ้อนด้านอาการทางสมองและหัวใจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากอาการแทรกซ้อนทางด้านสมองและหัวใจนั้นอาจเกิดขึ้นในช่วง 1-2 สัปดาห์ของอาการป่วยด้วยโรคมือเท้าปากา แม้ในขณะนั้นจะดูว่าผื่นและแผลในปากหายแล้วก็ตามดังนั้นผู้ป่วยจึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เช่น ให้พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ซนออกกำลังหรือเดินทางมากจนเหนื่อยเพลียเกินไป
อย่างไรก็ดี ในการดูแลผู้ป่วยที่เพิ่งแสดงอาการของการติดเชื้อเอนเทอโรไวรัส แพทย์อาจไม่สามารถบอกได้โดยง่ายว่าใครจะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงได้เมื่อไร เพราะถ้าเป็นจากเชื้อสายพันธุ์ที่ไม่ดุก็จะไม่ค่อยมีอะไร ไม่กี่วันก็หายเป็นปกติ แต่ในทางกลับกัน ถ้าเป็นจากเชื้อที่มักก่อเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงเช่น ไวรัส EV71จะมีอาการดังนี้
การมีอาการแสดงเช่นนี้อาจเป็นเพราะไวรัสเริ่มเข้าสู่เซลล์สมองและเริ่มรบกวนการทำงานของสมองโดยเฉพาะส่วนของก้านสมองโดยมักเข้าทำลายศูนย์ควบคุมการหายใจและศูนย์ควบคุมการเต้นของหัวใจที่อยู่ในบริเวณก้านสมอง(brainstem encephalitis) จนต่อมาทำให้เกิดภาวะการหายใจและหัวใจล้มเหลว เกิดน้ำท่วมปอด (pulmonary edema) หัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตได้ฉับพลัน
ในกรณีของรายที่ไม่เกิดการทำลายของศูนย์ที่ก้านสมอง ก็อาจเกิดการอักเสบของเยื่อหุ้มสมองและเนื้อสมองบางส่วน (aseptic meningitis, viral encephalitis)ไขสันหลังอักเสบ(transverse myelitis) กล้ามเนื้ออ่อนแรง (flaccid paralysis) ทำให้มีอาการปวดศีรษะโดยในเด็กโตอาจร้องไห้บอกว่าปวดหัวมาก ปวดทนไม่ไหว หรืออาจมีอาการพูดเพ้อไม่รู้เรื่อง สลับกับการซึมลง หรือเห็นภาพแปลกๆ ปวดต้นคอ คอแข็ง มีการรู้สติสับสน ซึมลง และอาเจียน เนื่องจากมีการอักเสบของเซลล์สมองและเยื่อหุ้มสมอง เกิดความดันสูงในสมอง ในกรณีเช่นนี้ยังมีโอกาสที่จะช่วยให้การรักษาดูแลใกล้ชิด และประคับประคองให้ภาวะการอักเสบของสมองและเยื่อหุ้มสมองนี้ลดลง ซึ่งจะช่วยให้ความดันในสมองและภาวะสมองบวมนี้ค่อยลดลงกลับสู่สภาวะปกติได้ในอีกหลายวันต่อมา แต่ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจมีการชัก ซึม หมดสติและสมองบวมมากซึ่งอาจหยุดหายใจได้เช่นกัน
ทั้งนี้ จากรายงานอาการและอาการแสดงของเด็กที่มีอาการรุนแรงมักพบว่าอาการแสดงอาจขึ้นกับอายุของเด็กและปัญหาแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ซึ่งได้แก่ ในเด็กเล็กจะมีอาการซึมหงอยลง ไม่เล่น ไม่กินนมหรืออาหารเท่าไร บางทีจะมีอาเจียนและมีอาการท้องเสีย ถ่ายเหลวร่วมด้วย ในเด็กโตที่พอจะบอกอาการของตนเองได้ จะบ่นว่าปวดหัว เวียนหัว บางรายอาจมีอาการเพ้อ พูดหรือมีท่าทางแปลกไป หรือจะพบว่าเด็กมีตัวสั่นๆ แขนหรือมือสั่นบ้าง บางครั้งไม่มีแรงยืนหรือเดินเซบ้าง ส่วนอาการทางเดินหายใจอาจมีอาการไอ หายใจเร็ว ดูเหนื่อยๆ หน้าซีดๆ เสมหะเยอะได้ โดยจะมีไข้ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ และ อาการแทรกซ้อนก็ไม่ได้สัมพันธ์กับจำนวนแผลในปากหรือตุ่มที่พบตามฝ่ามือฝ่าเท้า หลายคนที่มีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงอาจพบว่ามีแผลไม่กี่จุดในลำคอหรือไม่กี่ตุ่มที่ฝ่ามือฝ่าเท้าก็ได้ และบางทีอาจเป็นช่วงที่ดูเหมือนว่าเด็กมีอาการที่ทำท่าว่าทรงตัวหรือกำลังดีขึ้นแล้วด้วยซ้ำ
3. มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการอะไรไหมที่จะยืนยันว่าเป็นเชื้อนี้
การตรวจทางห้องปฏิบัติการทั่วไป เช่น ผลเลือดทั่วไป (CBC) ผลระดับอิเล็กโทรไลต์(เช่นเกลือโซเดียม โพแทสเซียม) การทำงานของตับ (liverenzymes ได้แก่ AST,ALT) จะไม่ค่อยพบความผิดปกติอะไรชัดเจนที่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อเอนเทอโรไวรัส
การวินิจฉัยโรคมือเท้าปากในเวชปฏิบัติจึงทำโดยการดูจากประวัติการเจ็บป่วยและจากการตรวจร่างกาย ที่อาจเห็นลักษณะของแผลในปากและตุ่มน้ำเล็กๆตามฝ่ามือฝ่าเท้า แต่ในหลายรายก็อาจมีแค่แผลในปาก หรือบางรายก็อาจไม่มีแผลหรือตุ่มตามนิ้วมือนิ้วเท้าให้เห็นได้เลย
ส่วนการวินิจฉัยที่จะยืนยันว่าเป็นการติดเชื้อนี้ก็ต้องอาศัยการส่งตรวจพิเศษเพื่อหาเชื้อไวรัส โดยการตรวจหายีนของไวรัสด้วยวิธี polymerase chain reaction (PCR) หรือจากการเพาะเชื้อไวรัส (virus culture) ซึ่งมีราคาแพง และในบางสถานการณ์อาจทำไม่ได้เนื่องจากอุปสรรคทางเทคนิคต่างๆ เช่น อยู่ต่างจังหวัด หรือไม่มีน้ำยาที่ใช้ในการเก็บตัวอย่างสิ่งคัดหลั่งและ/หรืออุจจาระเพื่อส่งตรวจ และที่สำคัญคือการทำการตรวจเหล่านี้จะใช้เวลาในการทำและรายงานผลประมาณ 1-3 วันสำหรับPCR และอาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์สำหรับผลการเพาะเชื้อไวรัสโดยในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการตรวจที่จะให้ผลรวดเร็วภายใน 1-2 ชั่วโมงที่จะมาช่วยบอกได้
สำหรับการตรวจอื่นๆเพื่อประเมินการทำงานของสมองและหัวใจขึ้นกับอาการและอาการแสดงที่เป็นอยู่ รวมทั้งการคิดถึงโรคอื่นๆที่อยู่ในการคำนึงถึงในการวินิจฉัยแยกโรค เช่น ในกรณีที่มีอาการทางสมอง (เช่น ซึมลง ชัก ฯลฯ) ก็ต้องนึกถึงการติดเชื้อของสมองและเยื่อหุ้มสมองจากเชื้ออื่นๆด้วย ได้แก่ เชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ (herpes simplexvirus) เชื้อไวรัสสมองอักเสบอื่นๆ เช่นไวรัสพิษสุนัขบ้า (rabies virus) ไวรัสไข้สมองอักเสบญี่ปุ่น (Japanese encephalitis virus) เชื้อนิวโมคอคคัส Streptococcus pneumoniae ที่รู้จักกันในชื่อโรคไอพีดี และเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ หรือเชื้อรา เป็นต้น
ในกรณีเชื้อที่ทำให้เกิดปัญหาด้านการหายใจ ก็ต้องนึกถึงเชื้อไข้หวัดใหญ่ เชื้อไข้หวัดอื่นอีกหลายชนิด เชื้อไวรัสไข้หวัดนก เชื้อมัยโคพลาสมา เชื้อแบคทีเรียอื่นๆ เช่น เชื้อนิวโมคอคคัส เชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ฯลฯ อีกหลายชนิด ซึ่งอาจจะต้องมีการเจาะเอาน้ำไขสันหลังมาทำการตรวจวินิจฉัยหาเชื้อต่างๆ เหล่านี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้และอาการของผู้ป่วยในขณะนั้นๆว่าจะสามารถทำได้หรือไม่
การทำการตรวจพิเศษ เช่นการทำคอมพิวเตอร์สแกน (CT, MRI scan) ของสมอง ก็อาจไม่พบความผิดปกติหรืออาจพบความผิดปกติเช่นสมองบวมบางส่วน ซึ่งอาจช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคต่างๆได้ และขึ้นกับว่าอาการของผู้ป่วยขณะนั้นจะอยู่ในระดับความรุนแรงขนาดไหน เพราะผู้ป่วยเองอาจมีปัญหาการเต้นของหัวใจและการหายใจที่ต้องอาศัยการดูแลอย่างใกล้ชิดในไอซียู ดังนั้นการจะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเพื่อการตรวจด้านคอมพิวเตอร์ของสมองซึ่งจะใช้เวลานานเป็นชั่วโมง และอาจต้องมีการดมยาผู้ป่วย อาจไม่อยู่ในวิสัยที่จะสามารถทำได้อย่างปลอดภัยเนื่องจากผู้ป่วยอยู่ในสภาวะวิกฤต
สำหรับการตรวจการทำงานของหัวใจ ได้แก่ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การติดตามดูชีพจรและความดันโลหิต การตรวจ echocardiogram เพื่อดูลักษณะของหัวใจและความสามารถในการบีบตัวเต้นของกล้ามเนื้อหัวใจ ใช้ในการประเมินดูว่าการทำงานของหัวใจในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจเป็นอย่างไร
4. การรักษามีอะไรบ้าง
เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มียาที่มีฤทธิ์ต้านหรือทำลายเชื้อไวรัสนี้ และยังไม่มีวัคซีนที่จะได้ผลในการป้องกันเชื้อไวรัสในกลุ่มนี้ ดังนั้นการรักษาจึงเป็นการรักษาอาการทั่วๆไปตามแต่อาการของผู้ป่วย เช่น เจ็บคอมาก กินอะไรไม่ได้ เด็กดูเพลียจากการขาดอาหารและน้ำ ก็จะให้พยายามป้อนน้ำ นมและอาหารอ่อนที่กินได้ ในรายที่เพลียมากอาจให้นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลและให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ร่วมกับให้ยาลดไข้แก้ปวด และ/หรือหยอดยาชาในปากเพื่อลดอาการเจ็บแผลในปาก เฝ้าระวังสังเกตอาการของโรคแทรกซ้อนทางสมองและหัวใจ ส่วนรายที่เริ่มมีอาการทางสมอง เช่น ซึมลงมาก อาเจียนเยอะ มีอาการผวา สะดุ้งบ่อยๆแม้เวลานอนอยู่เฉยๆ หรือในเด็กโตที่สามารถบอกได้ว่าปวดหัวมาก หรือมีอาการเพ้อ พูดจาสับสน ฯลฯ ก็จะต้องระวังมากขึ้น ส่วนในกรณีที่เด็กมีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งสังเกตได้จากเด็กมีอาการเหนื่อยง่าย เดินไม่ไหว ให้อุ้มตลอดหรือหายใจดูเหนื่อยๆ หายใจเร็ว ชีพจร(อัตราการเต้นของหัวใจ)เบาเร็ว ปลายมือปลายเท้าดูซีดๆเย็นๆ ความดันโลหิตต่ำ ก็จะต้องรีบย้ายผู้ป่วยเข้าไอซียูเพื่อการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด
สิ่งสำคัญในการดูแลผู้ป่วยในสภาวะวิกฤตแบบนี้จำเป็นต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายแขนงมาร่วมกันดู และต้องการการดูแลพยาบาลอย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยจึงต้องอยู่ในหออภิบาลผู้ป่วยหนัก ในต่างจังหวัดหรือในโรงพยาบาลขนาดเล็กที่อาจไม่มีบุคลากรทั้งแพทย์ พยาบาล และอุปกรณ์เครื่องมือที่พร้อมก็อาจจำเป็นต้องทำการส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่มีความพร้อมมากขึ้น เช่น โรงพยาบาลประจำจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์ และโรงเรียนแพทย์ที่มีประจำอยู่ในทุกภาค แต่ปัญหาก็คือบางครั้งผู้ป่วยที่อยู่ในสภาวะวิกฤตจะไม่สามารถส่งต่อไปยังที่อื่นๆได้เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายจากการเดินทางและผู้ป่วยอาจไม่สามารถทนต่อความยากลำบากจากการเดินทางได้ จึงอาจจำเป็นต้องอยู่ในการดูแลที่โรงพยาบาลนั้นๆจนกว่าอาการจะพ้นสภาวะวิกฤตก่อน
นอกเหนือจากการดูแลอย่างใกล้ชิดด้วยการช่วยหายใจด้วยออกซิเจนทางหน้ากากและ/หรือเครื่องช่วยหายใจ รวมถึงการรักษาด้วยยา เช่น ยาที่จำเป็นในการช่วยการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต ยาปฏิชีวนะในการรักษาและป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน แพทย์อาจพิจารณาให้สารภูมิคุ้มกันแอนติบอดีที่เป็นอิมมูโนโกลบูลินทางหลอดเลือดที่เรียกว่า intravenous immunoglobulin (IVIG)ซึ่งมีรายงานว่าอาจช่วยลดการลุกลามของปัญหาแทรกซ้อนและลดอัตราตายของผู้ป่วยลงได้บ้าง โดยมีประเด็นว่า ภูมิคุ้มกันโดยรวมที่ได้จากอิมมูโนโกลบูลินเหล่านี้จะมีบางส่วนที่เป็นภูมิคุ้มกันจำเพาะที่สามารถหยุดยั้งการดำเนินโรคที่เกิดจากไวรัส EV71 นี้ได้บ้าง แต่ทั้งนี้ผลที่ได้จะขึ้นกับปัจจัยร่วมอีกหลายประการเช่น ปริมาณระดับแอนติบอดีที่จำเพาะต่อเชื้อไวรัสEV71 ที่มีอยู่ในแต่ละ Lot.ของอิมมูโนโกลบูลินที่ให้ และสถานะของผู้ป่วยในขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร
5. จะมีวิธีป้องกันได้อย่างไร
โดยปกติแล้วเชื้อเอนเทอโรไวรัสจะมีการระบาดไปเรื่อยๆในสภาวะอากาศที่เหมาะสม และเนื่องจากไวรัสเหล่านี้อาจมีการดำเนินโรคที่ไม่รุนแรงนัก แพทย์จึงมักแนะนำเพียงว่าให้ผู้ป่วยพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านสัก 4-5วันก็กลับไปเรียนได้ แต่ในกรณีที่เกิดการติดเชื้อโรคมือเท้าปากชนิดที่มีอาการรุนแรงโดยเฉพาะมีการเสียชีวิต เช่น EV71 ก็จำเป็นต้องใช้มาตรการที่เข้มข้นขึ้น เช่น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่หรือโรงเรียนจะเข้มงวดขนาดไหน ลูกก็ยังมีโอกาสที่จะได้รับเชื้อไวรัสนี้มา เมื่อไร อย่างไร ตอนไหนก็ไม่รู้ คุณพ่อคุณแม่ควรต้องเตรียมใจที่จะช่วยกันดูแลลูกที่ป่วยอย่างใกล้ชิด เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น และภาวนาขอให้ลูกหายจากการป่วยนี้โดยไม่เกิดอันตรายจากปัญหาแทรกซ้อนอื่นๆ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็จะสบายใจได้ว่าลูกมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์นั้นๆแล้ว ก็จะปลอดภัยไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่งได้
โดยสรุป เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่วัคซีนสำหรับเชื้อเอนเทอโรไวรัสทั่วไปหรือสำหรับเชื้อ EV71 คุณพ่อคุณแม่จึงต้องเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการป่วยด้วยเชื้อนี้ไปทุกปีจนกว่าลูกจะมีภูมิคุ้มกันดีขึ้นจากการติดเชื้อต่างๆนี้ในแต่ละช่วงของการระบาด
ขอขอบคุณ :
นายแพทย์ประสงค์ พฤกษานานนท์กุมารแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อในเด็ก