คุณหมอแนะนำเทคนิคการเลี้ยงลูก ให้มั่นใจตนเอง โดยพ่อแม่ต้องชื่นชมลูกมากกว่าตำหนิ ชม 5 ครั้ง ดุ 1 ครั้ง กำลังพอดี ย้ำชมแบบเจาะจงพฤติกรรม ช่วยลูกรู้ว่าตัวเองทำดีเรื่องอะไร มีความสามารถอะไร ช่วยลูกพร้อมเผชิญความท้าทายในชีวิต เตือนอย่าชมว่าเก่งหรือดีที่สุดในโลกบ่อยๆ คำพูดเหล่านี้อาจทำให้ลูกเหลิง และยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางได้นะคะ
สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี แนะนำเทคนิคการเลี้ยงลูกให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองว่า ช่วง 3 ปีแรกของชีวิตเป็นช่วงเวลาที่เด็กอยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่มากที่สุด ซึ่งช่วงวัยนี้เด็กจะมีวิวัฒนาการและการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา โดยเริ่มมีการทำสิ่งต่างๆ เป็นผลสำเร็จเป็นครั้งแรก และจะเริ่มเรียนรู้ถึงที่เกิดจากพฤติกรรมว่าเป็นอย่างไร
ดังนั้นช่วงนี้หากพ่อแม่เปิดโอกาสให้เด็กได้ช่วยเหลือตนเอง ลองผิดลองถูกในการแก้ปัญหา และชมเชยให้ลูกรู้ว่าสิ่งที่ลูกทำเป็นสิ่งที่ดี จะยิ่งเพิ่มความสามารถและความภาคภูมิใจให้กับลูกได้ แต่จุดอ่อนที่แพทย์มักพบบ่อยๆ คือ การไม่ให้โอกาสแก่ลูกได้ช่วยเหลือตนเอง และไม่ค่อยได้ชื่นชมลูกจะคอยแต่ตำหนิติเตียน หรือเรียกว่าการจับผิดมากกว่าจับถูก ทำให้เด็กไม่มีการพัฒนาความมั่นใจในตนเองได้
การสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกควรอยู่ในอัตราส่วน การกล่าวคำชม 5 ครั้งต่อการดุ 1 ครั้ง คือ พ่อแม่จะต้องคอยมองว่า ลูกสามารถทำสิ่งที่พ่อแม่ชอบได้ เมื่อทำถูกต้องก็ต้องกล่าวชมลูกเพื่อทำให้ลูกสุขใจและเรียนรู้ที่จะทำพฤติกรรมนั้นซ้ำๆ ซึ่งต้องประกอบด้วย 3 หลักใหญ่เข้าด้วยกัน คือ
ยกตัวอย่าง "ลูกเก่งมากที่ทำการบ้านเสร็จ หนูเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ แม่ภูมิใจในตัวหนูนะ" เป็นต้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พ่อแม่ต้องรู้สึกอย่างนั้นกับลูกจริงๆ ถ้าแกล้งทำลูกก็จะดูออกว่าพ่อแม่ไม่ได้ชื่นชมจริง
เด็กๆ ที่พ่อแม่เจาะจงชมที่ตัวพฤติกรรมอันเหมาะสม หรือชื่นชมในความพยายามของลูก จะทำให้เด็กๆ พร้อมเผชิญความท้าทายต่างๆ ของชีวิตในอนาคตได้ดีกว่าเด็กๆ ที่พ่อแม่ชมแบบกว้างๆ อย่างคำว่า ดีจัง หรือ เก่งจัง เพราะบางครั้งเด็กทำพฤติกรรมหลายอย่างพร้อมกัน เด็กจะไม่รู้ว่าตัวเองได้รับคำชมจากการกระทำอะไรที่ทำแล้วพ่อแม่ชอบ
ดังนั้นการชมโดยเจาะจงที่พฤติกรรมทำให้เด็กๆ รู้ว่าเขามีศักยภาพและความสามารถอย่างไร และการชื่นชมในความพยายามของลูก แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ ก็ทำให้เด็กๆ เรียนรู้ว่าความพยายามเป็นทักษะที่จำเป็นในชีวิต
แต่ในขณะเดียวกันการชมลูกด้วยคำพูดปิดท้ายประโยคว่า "ที่สุดในโลก" เช่น เก่งที่สุดในโลก หรือ ดีที่สุดในโลก หากชมนานๆ ครั้งก็คงไม่เกิดผลอะไร แต่หากเราติดปากพูดเป็นประจำก็อาจทำให้เด็กหลงคิดว่าตนเองนั้นเก่งและดีที่สุดในโลกจริงๆ จนยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง หรืออาจคิดเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นเสมอ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาด้านทักษะการเข้าสังคมในอนาคตได้
นอกจากนี้การชมของคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่ได้ฝึกพูดบ่อยๆ จะทำให้ดูขัดเขิน ซึ่งไม่เป็นผลดี ดังนั้น พ่อแม่ควรเริ่มต้นในการชมกันเองก่อน เพื่อให้พร้อมในการชมลูกได้ติดปาก โดยไม่ต้องกลัวว่าจะชมลูกมากเกินไปแล้วลูกจะเหลิง เพราะการชมนอกจากจะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตนเองแล้วยังเป็นการช่วยสร้างสัมพันธภาพของลูกกับพ่อแม่ ได้เรียนรู้ว่าพ่อแม่ยอมรับตนเอง ซึ่งจะทำให้เด็กเป็นเด็กที่ เก่ง ดี และมีความสุขต่อไปได้นะคะ
ที่มา : www.manager.co.th