วัณโรคระบาด มีผู้ป่วยถึง 108,000 ราย ต่อปี ต้องสังเกตและรักษาให้ทัน คนไทยตื่นตัวเรื่องวัณโรคมากขึ้น เพราะล่าสุดประเทศไทยถูกจัดให้เป็น 1 ใน 14 ประเทศที่มีปัญหาวัณโรคสูงมาก ทั้งวัณโรค (TB) วัณโรคที่มีการติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย (TB/HVI) และ วัณโรคดื้อยาหลายขนาน (MDR-TB)
องค์การอนามัยโลกได้ประมาณการในปี 2560 ว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยวัณโรครายใหม่และกลับมาเป็นซ้ำถึง 108,000 ราย ต่อปี นอกจากนี้ คนไทย 20 ล้าน หรือ 1 ใน 3 ของคนไทย มีเชื้อวัณโรคแฝงที่ไม่แพร่กระจาย เรียกว่าตัวเลขพุ่งสูง น่าตกใจมาก ทุกครอบครัวควรไปตรวจสุขภาพประจำปีนะคะ
แพทย์หญิงผลิน กมลวัทน์ ผู้อำนวยการกองวัณโรค กรมควบคุมโรค บอกว่า “วัณโรคเป็นโรคที่ติดเชื้อทางอากาศ จึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อสูงมาก ส่วนผู้ที่ติดเชื้อ แต่ไม่แพร่กระจาย สามารถรับยาป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นวัณโรคได้ในอนาคต”
ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ อรรถ นานา นายกกรรมการบริหาร สมาคมปราบวัณโรคแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ บอกว่า “ผู้ติดเชื้อวัณโรคคือคนที่ได้รับเชื้อในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ส่วนใหญ่ไม่ออกอาการ แต่เมื่อภูมิต้านทานลดลงจะกลายเป็นโรควัณโรคได้”
แพทย์หญิงอลิศรา ทัตตากร ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “ปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีผู้ป่วยวัณโรค 13,000 รายต่อปี ค้นพบได้ประมาณ 12,000 ราย และต้องค้นหาเพื่อนำมารักษาเพิ่มอีก 1,000 ราย การรักษาสำเร็จเพียง 77% มีผู้ป่วยขาดการรักษาต่อเนื่อง อาจจะแพร่เชื้อหรือถึงขั้นเชื้อดื้อยาด้วย ประมาณ 2,500 รายต่อปี รวมเป็นผู้ป่วยทั้งหมด 3,500 คน ”
“สิ่งที่ทำให้วัณโรคต่างจากโรคอื่น ๆ คือไม่สามารถรักษาคนไข้ให้หายขาดได้ เนื่องจากในอดีตต้องทานยาวันละสิบ ๆ เม็ด คนไข้ทานไม่ครบหรือหยุดกินยาทำให้เป็นวัณโรคดื้อยา คิดเป็น 10% ของวัณโรคทั่วไป ต้องกินยาสองปีควบคู่ไปกับฉีดยา 6-8 เดือน และต้องระมัดระวังอย่างมากในการฉีดยาให้ถูกวิธี และถูกต้องกับน้ำหนักตัว เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น หูดับ ไตวาย บางคนเลยมีแนวโน้มที่จะรักษาไม่ครบเพราะการรักษาค่อนข้างยากและใช้ระยะเวลานาน
แต่ในปัจจุบันมียารุ่นใหม่ที่ช่วยลดความยากลำบากของคนไข้และภาระค่ารักษาจากเดิมต้องทานยา 2 ปี หรือฉีดยา 6-8 เดือน ใช้ระยะเวลาสั้นลงเหลือ 9-10 เดือน เพื่อค้นพบโรคให้เร็วขึ้น กรมควบคุมโรคได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ใช้เทคโนโลยี AI ในการอ่านผลเอกซเรย์ทำให้ค้นพบคนไข้และรับการรักษาได้เร็วขึ้น กิจกรรมและการรณรงค์ต่างๆ เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยในประเทศไทย ซึ่งในขณะนี้สามารถลดจำนวนผู้ป่วยวัณโรคไปได้ 10% จาก 172 ต่อแสนคน เหลือ 156 ต่อแสนคน”
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.posttoday.com