ปัจจุบันแม่เลือกผ่าคลอดลูกมากขึ้นด้วยเหตุผลต่างกัน การผ่าคลอดเสี่ยงทำให้ลูกเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นตามไปด้วยจริงไหม คุณหมอมีข้อเท็จจริงมาบอกค่ะ
ปัจจุบันทารกที่คลอดด้วยการผ่าตัดนั้น มีความเสี่ยงต่อการเกิด โรคภูมิแพ้ สูงกว่าทารกที่คลอดด้วยวิธีธรรมชาติ โดยเฉลี่ยเด็กมากกว่า 30-40 % จะป่วยเป็น โรคภูมิแพ้ และในอนาคตเด็กที่โตเป็นผู้ใหญ่ มีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะภูมิแพ้ เช่น พันธุกรรม มลพิษที่มีอยู่ทั่วไป อายุที่เปลี่ยนแปลง และส่วนหนึ่งที่องค์การอนามัยโลกได้วิจัยมาแล้วว่า เกิดจากการคลอดทารกโดยวิธีผ่าตัดทางหน้าท้อง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เด็กจำนวนมากป่วยเป็นโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
ปกติแล้วเมื่อครบกำหนดก็จะคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ คือ ทารกจะเคลื่อนออกจากมดลูกผ่านลงมายังช่องคลอด และได้รับจุลชีพโพรไบโอติกที่เป็นประโยชน์ ซึ่งอยู่ในช่องคลอดและในลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง ใกล้ ๆ ทวารหนักของคุณแม่ รวมถึงที่ปนอยู่กับมูกเลือดในช่องคลอด ผ่านเข้าทางปากและจมูกของทารก โดยจุลชีพนี้จะไปกระตุ้นให้ร่างกายเริ่มพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สมบูรณ์
ต่างจากวิธีการผ่าตัดคลอดที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน ที่ทารกจะคลอดออกมาทางแผลผ่าตัดหน้าท้อง ทำให้หมดโอกาสที่จะได้รับจุลชีพโพรไบโอติกในช่องคลอดและลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง นอกจากนี้ในการผ่าตัดคลอด คุณแม่ส่วนใหญ่มักจะได้รับยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อขณะผ่าตัด ทำให้เชื้อจุลชีพ ทั้งเชื้อก่อโรคและโพรไบโอติกถูกฆ่าทำลายไปด้วยกัน ก็ยิ่งทำให้ทารกหมดโอกาสที่จะได้รับจุลชีพโพรไบโอติก และอาจได้รับเชื้อจุลชีพก่อโรคภายในโรงพยาบาล
ปัจจุบันมีทารกและเด็กเป็นภูมิแพ้มากขึ้นจนน่าเป็นห่วง เมื่อดูประวัติการคลอดพบว่า เด็กที่คลอดโดยการผ่าตัดคลอด มีอัตราการเจ็บป่วยมากกว่าเด็กที่คลอดด้วยวิธีปกติ 3-4 เท่า อย่างไรก็ดี โดยทั่วไปสูติแพทย์จะแนะนำให้คุณแม่ทุกคนคลอดด้วยวิธีธรรมชาติตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ก่อน เพราะเสียเลือดน้อย ฟื้นตัวไว เจ็บแผลน้อยกว่า และมดลูกกลับสู่ภาวะปกติได้เร็วกว่าการผ่าคลอด ซึ่งควรเป็นทางเลือกที่มีความจำเป็นสำหรับคุณแม่และทารก หรือ ตามข้อบ่งชี้ของมาตรฐานการดูแลสตรีมีครรภ์ขณะคลอดเท่านั้น
ผศ.นพ.มานพชัย ธรรมคันโธ
ภาควิชาสูติศาสตร์ –นรีเวชวิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล