ปัจจุบันโลกมีการขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว ทั้งเทคโนโลยี สังคม และสภาพแวดล้อม คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่จึงต้องสร้างรากฐานที่ดีให้กับลูกน้อย อยากเสริมสร้างทักษะชีวิต การสื่อสารภาษาอังกฤษที่ดี รวมถึงการเอาตัวรอดในสังคมให้ลูก เพื่อให้ลูกได้นำไปใช้ในการประกอบอาชีพและประสบความสำเร็จในอนาคต การส่งลูกเข้าโรงเรียนนานาชาติจึงอาจตอบโจทย์ให้กับคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น ดังนั้น จึงอยากจะแนะนำให้รู้จักกับ โรงเรียนนานาชาติ Saint John Mary จ.สระบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนนานาชาติที่เน้นการเสริมสร้างทักษะชีวิตที่ดีให้กับเด็กๆ โดยได้ ดร.ปุณณรัตน์ ชินะผา ผู้อำนวยการโรงเรียน มาแนะนำและเล่าถึงการเรียนการสอนของระบบการเรียนแบบนานาชาติให้ฟัง ไปรู้จักโรงเรียนนานาชาติ Saint John Mary พร้อมๆ กันเลยค่ะ
จุดเริ่มต้นของ Saint John Mary International School
เริ่มมาจาก อาจารย์สมัย ชินะผา ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น และ อาจารย์สุมน ชินะผา ผู้ร่วมก่อตั้งมหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น ท่านทั้งสองมีวิสัยทัศน์กว้างไกลมาก โดยมีความมุ่งมั่นว่าอยากให้เด็กไทยได้รับการศึกษาในรูปแบบนานาชาติ ได้เรียนภาษาอังกฤษแบบนานาชาติที่มีค่าเทอมไม่แพงเกินไป และผู้ปกครองสามารถเข้าถึงได้ จึงค่อยๆ วางแผน วางรูปแบบของโรงเรียน จนทำให้มีโรงเรียนนานาชาติแห่งนี้ขึ้นมาครับ
และสิ่งสำคัญที่เราอยากให้เด็กๆ ที่เข้ามาเรียนที่นี่ต้องมีปัจจัยหลัก 4 ข้อนี้คือ ต้องเป็นประชากรที่ดีของโลก มีทีมเวิร์คที่ดี มีการสื่อสารภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว และมีความเป็นผู้นำที่ดี ซึ่งปัจจัย 4 หลักนี้จะสอดแทรกเข้าไปในทุกๆ วิชาที่เด็กได้เรียน เช่น วิชาสังคมศาสตร์ เด็กๆ ต้องรู้ว่าตอนนี้ปัญหาทั่วโลกมีอะไรบ้าง เช่น ประเทศไหนที่ยากจน ประเทศไหนที่มีการคอรัปชั่นสูง ประเทศไหนมีสงครามและมีผลอย่างไร เด็กๆ จะได้ค้นหาข้อมูลและเรียนรู้ความเป็นไปของสังคมโลกได้อย่างดี มันคือการสอนให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลกนั่นเองครับ
พัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง เลือกหลักสูตรที่ดีที่สุดเพื่อเด็กๆ
โรงเรียนของเราเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนแบบอเมริกัน ซึ่งแน่นอนว่าโรงเรียนทั่วโลกต่างมีหลากหลายหลักสูตร และหลักสูตรแต่ละอันก็มีข้อดีข้อปรับปรุงแตกต่างกันไป แต่สาเหตุที่เราเลือกเป็นหลักสูตรอเมริกันก็เพราะว่าหลักสูตรนี้คล้ายๆ กับหลักสูตรในประเทศไทยมากที่สุด เพราะฉะนั้นเด็กที่เรียนแบบไทยอยู่แล้วและจะปรับมาเรียนระบบนานาชาตินั้น การใช้หลักสูตรอเมริกันจะมีความเหมาะสมที่สุดครับ
โดยหลักสูตรของเรามีการปรับให้เหมาะสมและพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และด้วยความเป็นหลักสูตรนานาชาติเราจึงมีอิสระในการปรับหลักสูตรของเราเองอย่างชัดเจน โดยถ้าประเทศไหนมีวิชาไหนที่มีการเรียนการสอนโดดเด่น เราก็จะนำมาเสริมกับการเรียนการสอนของเรา เช่น เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ประเทศสิงคโปร์มีหลักสูตรการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ที่โดดเด่นมาก เราก็เลยไปดู work group ของประเทศสิงคโปร์มา และส่วนไหนที่ดีเราก็นำมาเสริมให้กับเด็กของเราครับ
เน้นสร้างทักษะชีวิต มากกว่าการท่องจำ
ในส่วนของการประเมินเด็กเพื่อให้ผู้ปกครองมั่นใจในโรงเรียน และหลักสูตรการเรียนการสอนต่างๆ ว่าเด็กๆ ที่มาเรียนจะมีผลอย่างไรบ้างนั้น เรื่องนี้ผมจะพูดกับผู้ปกครองเป็นประจำทุกปีว่า การมาเรียนที่นี่ถ้าอยากให้ลูกไปสอบเทียบและทำคะแนนได้ดีๆ ที่นี่อาจจะไม่เหมาะกับลูกของคุณ เพราะการจะให้เด็กมีความจำดี ตอบคำถามในกระดาษคำตอบได้ดี อาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ถ้าผมประเมินเด็กผม โดยการที่ส่งเขาไปขายของหรือขายเก้าอี้สักตัวหนึ่งให้กับเศรษฐีที่สิงคโปร์ บินไป present งาน ถ้าเกิดเป็นข้อสอบแบบนี้เด็กที่นี่ผ่านทุกคนแน่นอนครับ
ฝึกความรับผิดชอบ และการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม
โรงเรียนของเรามีทั้งแบบไป-กลับ และอยู่ประจำ ซึ่งเด็กๆ ทุกคนที่เข้ามาเรียนที่นี่คือ “เพชรเม็ดงาม” ที่เราต้องดูแล นั่นหมายความว่า เราต้องดูแลทุกคนอย่างดี สำหรับเด็กที่อยู่ประจำ เราจะสอนให้เด็กมีความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา ให้ทำอะไรเองให้เป็น ให้มีระเบียบวินัย นี่คือประเด็นหลักสำหรับผู้ปกครองที่บ้านไกลและอยากให้ลูกมาอยู่หอ และต้องฝึกการใช้ชีวิตให้ได้ อย่างถ้าเด็กกลับบ้านไป เด็กได้กินอาหารที่อยากกินตลอด แต่ถ้าอยู่ที่นี่ อาหารไม่ถูกปากก็ไม่สามารถที่จะเลือกได้ หรือแม้กระทั่งการดูแลตัวเองทุกอย่าง เด็กต้องรู้ว่าจะรับผิดชอบตัวเองอย่างไรบ้าง ซึ่งเด็กๆ ที่ได้มาอยู่ที่นี่เขาจะได้ฝึกทักษะการใช้ชีวิต การช่วยเหลือตัวเองได้อย่างดีครับ
มีหอพักสำหรับนักเรียนประจำ
สอนให้เรียนรู้วัฒนธรรมของชาติต่างๆ
ในส่วนของเรื่องการเรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมต่างๆ นั้นเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เราจะเน้นเป็นการสอนเรื่องวัฒนธรรมให้กับเด็กๆ ซึ่งในทุกปีเราจะมีกิจกรรมหลักที่เรียกว่า International Day ไม่เพียงแต่เรียนรู้วัฒนธรรมไทยเท่านั้น แต่จะเป็นกิจกรรมที่ได้เรียนรู้วัฒนธรรมของหลากหลายประเทศ ซึ่งจะทำให้เด็กๆ มีประสบการณ์และรู้จักวัฒนธรรมของประเทศอื่นๆ ด้วย โดยเราให้เด็กตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมได้มีส่วนร่วมทุกคน เช่น ห้องนี้เลือกเรียนรู้ประเทศเปรู ห้องนี้เลือกประเทศฝรั่งเศส เด็กๆ ก็จะค้นหาตั้งแต่ธงชาติของประเทศ ประวัติความเป็นมา ภูมิประเทศ ประชากร อาหารหลัก การแต่งกาย ค่านิยม ประเพณีของประเทศนั้นเป็นอย่างไร
และเด็กๆ ก็จะมีการจัดกิจกรรมเดินพาเหรด ใส่ชุดประจำชาติประเทศนั้นๆ เดินรอบโรงเรียน จัดบูธแนะนำประเทศที่ตัวเองทำ ให้ความรู้ของประเทศนั้นๆ เป็นกิจกรรมเต็มวันเลยครับ เด็กๆ จะสนุกสนานมาก น้องๆ วัยประถมศึกษาก็จะมาเดินดูกิจกรรมของพี่ๆ ส่วนพี่ๆ ก็ไปดูกิจกรรมของน้องๆ แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งการค้นหาแบบนี้เป็นการฝึกฝนให้เด็กๆ เป็นส่วนหนึ่งของประชากรโลกได้อย่างดีเลยครับ
สอนเด็กให้ใช้เทคโนโลยีอย่างสมดุล
ผมเชื่อว่าปัจจุบันข้อมูลต่างๆ มันไปได้รวดเร็วมาก เราสามารถหาข้อมูลต่างๆ จากโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ตได้อย่างง่ายดาย เพราะฉะนั้นหลักสูตรของเราจึงเน้นอะไรที่เป็นสิ่งที่เด็กๆ ต้องรู้ สถานการณ์ปัจจุบัน และเรามีการสอนให้เด็กๆ มีความอยากรู้อยากเห็น สนใจสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ให้เขาค้นหาข้อมูลเอง และในเวลาเดียวกัน สิ่งเดียวที่ผมอยากให้นักเรียนและผู้ปกครองตระหนักก็คือ การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ให้สมดุล ไม่ใช่ตลอดเวลา เพราะเด็กบางคนห่างจากโทรศัพท์มือถือไม่ได้เลย ต้องถืออยู่ตลอดเวลา คอยถามหาแต่มือถือ สิ่งนี้คือการเปลี่ยนแปลงของสังคม ฉะนั้นต้องทำให้เด็กรู้ว่า เทคโนโลยีมีประโยชน์ ใช้ประโยชน์ได้จริง แต่มันไม่ใช่ตัวเรา ต้องใช้มันอย่างสมดุลให้ได้ด้วยครับ
เปิดแคมป์ภาษาอังกฤษ ทำความรู้จักการเรียนนานาชาติมากขึ้น
การที่เราเปิดแคมป์ภาษาอังกฤษขึ้น เพื่อให้ผู้ปกครองและเด็กๆ ได้เข้ามาเรียนรู้การเรียนการสอนแบบนานาชาติ ซึ่งประเด็นหลักก็คืออยากให้ทุกคนที่มาได้มีประสบการณ์ และเจอสภาพแวดล้อมที่เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งกิจกรรมหลักของการเปิดแคมป์และผมให้ความสำคัญมากคือ การให้เด็กๆ ทำละครเวที เพราะโรงเรียนของเราถือว่ามีเวทีที่ดีสุดเลยก็ว่าได้ เป็นเวทีที่จะทำให้เด็กๆ ได้โชว์ความสามารถต่างๆ ของเขาอย่างเต็มที่ เป็นที่ภูมิใจของผู้ปกครอง คุณครู และผู้ที่ได้ชมเป็นอย่างมากครับ
ซึ่งการที่ผมให้ความสำคัญกับการทำละครเวทีนั้น เพราะการเล่นละครเวทีถือว่าได้ฝึกทักษะต่างๆ มากมาย แต่ผู้ปกครองบางคนอาจจะไม่เข้าใจ มองว่ามาเรียนอะไร ร้องเพลง เต้น แค่นี้เหรอ ไม่เห็นได้ความรู้อะไร แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย กิจกรรมนี้ถือเป็นกิจกรรมเสริมที่เงินหาซื้อไม่ได้จริงๆ เพราะการที่เด็กๆ ได้ฝึกพูด ฝึกร้องเพลง ถือเป็นการฝึกการใช้ภาษาโดยตรงเลย นอกจากนี้ยังได้ฝึกการทำงานเป็นทีม ฝึกทักษะเฉพาะบุคคล ฝึกการเป็นผู้นำ ฝึกการเป็นผู้ตาม ฝึกความอดทน และถือเป็นกิจกรรมที่กระตุ้นความสามารถของเด็กแต่ละคนออกมาเลยครับ ซึ่งผู้ปกครองส่วนมากชื่นชม เพราะเขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของลูกอย่างชัดเจน จากที่ลูกไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย ไม่กล้าพูด แต่พอผ่านคอร์สนี้คอร์สเดียวกลับชมมากๆ เลยว่าลูกมีความกล้าแสดงออกมากขึ้นครับ
เด็กๆ ได้ทำละครเวที เสริมสร้างทักษะเฉพาะตัว
นอกจากการแสดงแล้ว เด็กๆ ที่สนใจด้านอื่นๆ ก็จะมีส่วนร่วมอย่างมาก เช่น เด็กที่สนใจด้านการควบคุมแสงสีเสียงเราก็จะให้เขาฝึก ให้เข้าไปในห้องควบคุม เรียนรู้การควบคุมแสงสีเสียง บางคนชอบการทำฉาก ช่วยกันผลิตอุปกรณ์ประกอบฉากต่างๆ เรียกได้ว่าทุกคนมีส่วนร่วม และได้ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดและสนใจจริงๆ เด็กทุกคนจะได้เรียนรู้เรื่องกระบวนการทำในทุกๆ ขั้นตอนกว่าจะออกมาเป็นละครเวที 1 เรื่องต้องทำอะไรบ้าง ถือเป็นการเสริมทักษะต่างๆ ให้เด็กอย่างดีมาก
และหัวใจของการทำกิจกรรมนี้คือ ทุกคนจะได้ฝึกความพยายาม ในทุกๆ ปี การแสดงฉากสุดท้าย เด็กทุกคนจะน้ำตาไหลเพราะพวกเขาได้ผ่านการทำงานมาอย่างยากลำบาก อดหลับอดนอน แต่พอเขาได้เห็นสิ่งที่เขาทำสำเร็จ ทุกคนจะภูมิใจมากครับ เป็นประสบการณ์ที่ปลาบปลื้มมากของเด็กๆ ครับ
เรียนนานาชาติไม่ยาก ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งเรียนรู้เร็ว
หากคุณพ่อคุณแม่ที่อยากส่งลูกเข้ามาเรียนโรงเรียนนานาชาติ เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้และมีการสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างดีนั้น ต้องเตรียมตัวลูกอย่างไร จริงๆ แล้วเด็กไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย การเรียนของเด็กจะวัดจาก Learning Curve เช่น เด็กเข้ามาเรียนปีแรกอาจจะยังพูดไม่ได้ แต่เมื่อฟังทุกวัน เด็กจะมีการดูดศัพท์ภาษาอังกฤษเข้าไปในตัวอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเขาได้อยู่สภาพแวดล้อมที่เป็นภาษาอังกฤษเขาจะเรียนรู้ได้เร็ว พอเรียนปีที่ 2 อาจจะพูดได้เป็นคำ ยังไม่เป็นประโยคเท่าไหร่ พอเข้าปีที่ 3 เริ่มพูดได้เป็นประโยค ปีที่ 4 พูดได้คล่องเลย แต่สำหรับเด็กไทยอาจจะปรับตัว 1-2 ปี แต่พอได้แล้วเขาจะไปเร็วมาก สื่อสารเข้าใจ และพูดได้อย่างคล่องแคล่วเอง แต่สิ่งสำคัญ คือ เวลาอยู่บ้านลองฝึกลูกด้วยการให้ดูหนังฝรั่ง ดูเป็น soundtrack และพ่อแม่ลองใช้ภาษาอังกฤษ พูดคำศัพท์ง่ายๆ ลองพูดกับลูกสลับกับภาษาไทย จะเป็นการเสริมให้เด็กมีความกล้า และใฝ่รู้มากขึ้น แต่สิ่งสำคัญคือ การเริ่มต้น ยิ่งเริ่มเล็กเท่าไหร่ยิ่งดี เด็กๆ จะเรียนรู้ได้เร็วมากครับ