โลกโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นกูเกิ้ล เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม และยูทูบ กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกยุคดิจิตอลของเราไปแล้วเรียบร้อย การห้ามไม่ให้ลูกเล่น โซเชียลมีเดียเหล่านี้ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะเป็นไปตามยุคสมัย แต่เราจะอยู่ในกลุ่มพ่อแม่แบบไหน มาดูผลสำรวจกันค่ะ
เป็นผลของการสำรวจสรุปกระบวนความคิดของพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ในภูมิภาคเอเชีย โดยแบ่งออกเป็น 5 ลักษณะ ซึ่งจะสะท้อนวิธีการที่พ่อแม่ให้ความหมายต่อการเรียนรู้ของลูก การให้คุณค่าของการเรียนรู้จากประสบการณ์ของพ่อแม่ และมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือลูกในการเรียนรู้ รวมถึงความห่วงใยต่ออนาคตของลูกด้วย
พ่อแม่กลุ่มแรกนี้สนใจและกังวลอย่างมาก เกี่ยวกับอุปกรณ์ดิจิทัลต่อการศึกษาของลูก พ่อแม่จะไม่ยอมให้ลูกเล่นโซเชี่ยลใดๆ เพราะกังวลถึงผลกระทบที่เทคโนโลยี จะส่งผลต่อการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะในด้านสังคมและการเข้าสังคมของลูก พ่อแม่กลุ่ม The Concerned จะให้ความสำคัญกับวิธีการศึกษาแบบดั้งเดิม มากกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยเชื่อว่าเด็กๆ จะเสียสมาธิได้ง่าย เมื่อต้องอ่านบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเด็กน่าจะได้เรียนรู้มากขึ้นจากสิ่งพิมพ์หรือตำรา
พ่อแม่ในกลุ่มนี้ ให้คุณค่ากับการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ การเล่น และการเรียนรู้สิ่งใหม่ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย พวกเขาพร้อมที่จะเปิดรับ เน้นเรื่องการปฏิบัติ ต้องการให้ลูกได้สัมผัสโลกแห่งความเป็นจริง พวกเขาอยากให้ลูกๆ พัฒนาทักษะที่สามารถนำไปปรับใช้นอกเหนือจากในห้องเรียนและจะช่วยให้พวกเขาเป็นเลิศ กลุ่มพ่อแม่ลักษณะนี้จะชื่นชอบอุปกรณ์ดิจิทัล เนื่องจากสามารถช่วยให้ลูกๆ ได้เรียนรู้ไอเดียใหม่ๆ ได้
พ่อแม่ในกลุ่มนี้ให้คุณค่ากับการพัฒนาทักษะที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงและการเรียนรู้จากประสบการณ์ ผู้ปกครองลักษณะนี้มีแนวโน้มที่จะยอมรับว่า การเรียนรู้ทั้งทางดิจิทัลและจากสิ่งพิมพ์เหมาะสม และให้ผลการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น การพัฒนาทักษะและสติปัญญาด้านคำศัพท์และความเข้าใจ
พ่อแม่กลุ่มนี้ เรียกอีกอย่างว่า Tiger Parents มีลักษณะแสดงความต้องการเข้าไปช่วยผลักดันให้เด็กเรียนรู้ ควบคุมเนื้อหา และเส้นทางของการเรียนรู้ ให้ลูกได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ พวกเขาเชื่อว่าอุปกรณ์ดิจิทัลจะช่วยให้เด็กๆ ได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและไอเดียต่างๆ ในขณะที่สื่อการเรียนรู้ที่เป็นสิ่งพิมพ์และกิจกรรมทางกายภาพช่วยส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
พ่อแม่กลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่เงียบและเก็บตัวมากที่สุดเมื่อเทียบกับทุกกลุ่ม แม้พวกเขาใช้เวลาเรียนรู้กับลูกน้อยที่สุด แต่พวกเขากระตือรือร้นที่จะพัฒนาทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและสังคม ซึ่งอาจเป็นเพราะพ่อแม่กลุ่มนี้มีแนวโน้มที่เป็นคนที่เก็บตัว จึงให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เประเภทท่องจำ การติวเสริม และร่วมกิจกรรมทางสังคม นอกจากนี้ ในด้านการสร้างความผูกพัน พวกเขาต้องการควบคุมเนื้อหาและเส้นทางการเรียนรู้ของลูกๆ โดยแม่จะมีบทบาทในการเรียนรู้ของลูกมากกว่าฝ่ายพ่อ
หากเป็นพ่อแม่ได้ทุกกลุ่ม และใช้ไปตามสถานการณ์จะดีกว่าเป็นแบบใดแบบหนึ่งไปเลยนะคะ หากจะให้ลูกเล่นมือถือ แท็บเล็ต ก็ควรรู้วิธีดูแลสายตาของลูกยุคดิจิทัล ดังนี้เลยค่ะ
ให้เวลาลูกเล่นแท็บเล็ตแค่ 2 ชม. ต่อวัน เท่านั้น และต้องพักสายตาทุกๆ 20 นาที ด้วย
อย่าจ้องหน้าจอใกล้เกินไป ให้เว้นระยะห่าง ประมาณ 1 ศอกของพ่อ
ปรับความสว่างที่หน้าจอให้พอเหมาะ และห้ามปิดไฟเล่น
กินผักผลไม้ที่มีวิตามินเอและลูทีนสูง เพราะมีประโยชน์ต่อสายตา เช่น กีวี่ แครอท ผักโขม ผักคะน้า ผักบุ้ง ตำลึง ฟักทอง และมะละกอ
เมื่อถึงวัยที่เล่นแท็บเล็ต มือถือ ได้แล้ว เป็นอะไรที่ห้ามยากเรื่องการเรียนรู้ในโลกอินเทอร์เน็ต แต่พ่อกับแม่ก็ต้องรู้วิธีดูแลลูกด้วยวิธีดังกล่าวค่ะ
ข้อมูลจาก : เสวนา “HP New Asian Learning Experience เปิดประสบการณ์การเรียนรู้ของครอบครัวยุคใหม่”
พบกับเคล็ดลับง่ายๆที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กๆ ได้ที่เว็บไซต์ เอชพี ประเทศไทย