โรงเรียนจิตตเมตต์ เป็นโรงเรียนแบบบูรณาการ ที่ ครูก้า-กรองทอง บุญประคอง ผู้อำนวยการโรงเรียน ได้รับแนวคิดและคำแนะนำรูปแบบการศึกษาจาก ท่านอาจารย์หม่อมดุษฎี บริพัตร ณ อยุธยา ที่ให้เคารพความเป็นเด็ก และเชื่อในศักยภาพของเด็ก และพัฒนาทักษะของเด็กให้ครบถ้วนทั้ง 4 ด้าน คือ ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม สติปัญญา ทำให้เขาเติบโตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์มีคุณค่าต่อตนเอง ผู้อื่น ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เมื่อกล่าวถึงภาพรวมของโรงเรียนคุณครูก้า ได้อธิบายให้ฟังว่า “เราเป็นโรงเรียนที่มีเป้าหมายชัดเจน ในการทำการศึกษาเพื่อให้เกิดคุณค่าแก่ชีวิตของเด็กๆ ทั้งชีวิต มิใช่เพียงเพื่อให้สอบเข้าป.1 ที่ไหนได้ เรามองว่าช่วงอายุ 0 – 7 ปี เป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุดโตขึ้นเขาจะเป็นคนอย่างไร มีวิธีมองโลกอย่างไรก็วัยนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่เขาเข้ามาอยู่ในโรงเรียนพอดี โรงเรียนต้องมีความรับผิดชอบสูงมากในการจัดการเวลาแห่งการเติบโตของเด็ก เมื่อเรามองว่าสำคัญ เราจึงต้องคิดว่า แล้วเขาควรได้รับโอกาสอะไร อย่างไรเพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่เราอยากเห็น กระบวนการเรียนรู้ก็ต้องมองทั้งธรรมชาติของวัยและธรรมชาติของเด็กแต่ละคน เป็นหลักด้วย
แนวคิด และที่มาของหลักสูตรการเรียนแบบบูรณาการ
“มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่ครูก้านับถือมาก คือ ท่านอาจารย์หม่อมดุษฎี บริพัตร ณ อยุธยา ท่านเป็นคนให้แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาของที่นี่ ท่านเป็นทั้งต้นแบบของจิตวิญญาณความเป็นครูและต้นแบบของนักเรียนรู้ที่แสวงหาและศึกษานวัตกรรมดีๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกใบนี้ นำมาผสมผสานกับบริบทของคนไทยและผนวกกับประสบการณ์การทำงานด้านการศึกษาใน ตลอดชีวิตของท่านที่ผ่านมา ท่านจึงเปรียบเสมือนแม่ครัวใหญ่ที่นำวัตถุดิบดีๆ ต่างๆ ทั่วโลก มาปรุงให้กลายเป็นอาหารรสเลิศ ที่เด็กไทยชอบ ยิ่งกินยิ่งอร่อย ยิ่งกินก็ยิ่งโต และยิ่งกินก็ยิ่งเกิดการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพในแต่ละคน โรงเรียนจิตตเมตต์ อาจไม่ได้พูดชัดไปว่าเราเป็นโรงเรียนทางเลือกแบบนวัตกรรมใดที่คนทั่วไป รู้จัก แต่ถ้าพูดให้ตรงความเป็นจริงมากที่สุด คือเราใช้นวัตกรรมของท่านอาจารย์หม่อมดุษฎี บริพัตร ณ อยุธยา เพราะท่านเป็นคนที่ปรุงและให้แนวคิดรวมถึงรูปแบบการเรียนการสอนมาให้
“ที่นี่เราเปิดโอกาสให้เด็กได้สัมผัส สำรวจ สังเกต ทดลอง ลงมือทำสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองให้มากที่สุด เด็กจะค่อยๆ ค้นพบตัวเอง รู้ว่าเขาเป็นใคร มีความสามารถมากน้อยแค่ไหน มีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกับผู้อื่น ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างไร เป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อตนเองที่อยู่ภายในให้กับเด็ก ตอกย้ำในส่วนของความมั่นคงภายใน เพราะถ้ามนุษย์เราไม่รู้จักตนเอง มองไม่เห็นศักยภาพของตัวเอง ไม่มีความมั่นคงภายใน ไม่เห็นคุณค่าผู้อื่น ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้ว เขาจะดำรงชีวิตได้อย่างยากลำบากรู้สึกไม่ปลอดภัย ถ้าวันหนึ่งเขาต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรค เขาจะดำเนินชีวิตอย่างไร จะผ่านไปได้ไหม ครูก้ามองว่าขึ้นอยู่กับรากฐานที่ได้สร้างขึ้นในวัยนี้ เขาจะเป็นคนสุขง่ายทุกข์ยาก หรือสุขยากทุกข์ง่ายก็มาจากวัยนี้ค่ะ”
รูปแบบการเรียน
“เราเป็นนักจัดการกับกาลเวลาแห่งการเติบโตของเด็ก ต้องตระหนักในคุณค่าที่เด็กๆ จะได้รับเป็นหลัก บางทีผลอาจไม่ตรงใจและไม่ทันใจอย่างที่ผู้ใหญ่อยากเห็น คิดว่าช้าหน่อยไม่เป็นไร ถ้ามีคุณค่าต่อตัวเด็กเอง เช่น ถ้าเราคิดว่าการช่วยเหลือตัวเองของเด็กเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นเราจะให้เวลาเขาทำเต็มที่ ไม่ต้องรีบร้อน เพราะเราเชื่อว่าบันไดที่จะนำไปสู่ความเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง และสามารถจัดการดูแลชีวิตตัวองได้ในที่สุดคือ การช่วยเหลือตัวเองที่เหมาะสมกับวัย"
“ พาเด็กเข้าไปทำกิจกรรมในสวน เพราะเราอยากให้เด็กๆ ได้เล่นอย่างอิสระ มีโอกาสได้ใช้พื้นที่นั้นเป็นความสุขที่คลุกคลีอยู่กับธรรมชาติ เสมือนธรรมชาติเป็นเพื่อนที่แสนดีของพวกเขา ได้สัมผัสได้ค้นหาอะไรบางอย่างที่สนใจ เรียนรู้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ ค้นหาวิธีเล่นด้วยตัวเอง ตั้งโจทย์หรือสร้างความท้าทายให้กับตัวเอง ใช้จินตนาการในการเล่นกับเพื่อน และอื่นๆ อีกมากมาย การเล่นในพื้นที่ธรรมชาติอย่างอิสระจึงเป็นแบบฝึกหัดที่ดีที่สุดในการบ่ม พลังแห่งการเรียนรู้สำหรับเด็กๆ ในวัยนี้
พัฒนาการต้องครบทั้ง 4 ด้าน
“เราให้ความสำคัญว่าเด็กต้องมีพัฒนาการครบทั้ง 4 ด้านคือ ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม สติปัญญา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้นำมาตรวจสอบอยู่ในหลักสูตรด้วยว่าโรงเรียนให้ความ สมดุลกับเขาไหม เราไม่ได้ส่งเสริมแค่ด้านใดด้านหนึ่ง แต่สิ่งเหล่านี้สามารถบูรณาการ ไปพร้อมๆ กันได้อย่างเป็นธรรมชาติ”
เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน รร.มีวิธีเตรียมความพร้อมให้เด็กอย่างไร
“เราต้องเคารพความเป็นเขาก่อน เพราะถ้าไม่เคารพ ไม่ยอมรับหรือเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความเป็นตัวเองของเด็กแต่ละคน เราคงพัฒนาเขาไม่ได้เต็มศักยภาพของแต่ละคน แต่ขณะเดียวกันเด็กๆ เองก็ต้องรู้จักเคารพในคนอื่นด้วย เราก็จะมีกติกากว้างๆ ให้เด็กๆ ได้เห็นขอบเขตของการอยู่ร่วมกันอย่างไรให้เป็นสุข 3 ข้อ คือ ไม่ทำให้ตัวเองบาดเจ็บ ไม่ทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ ไม่ทำให้ข้าวของเสียหาย
ในการทำกิจกรรมต่างๆ ที่คุณครูจัดขึ้นจึงมักจะมีทั้งความเป็น "อิสระ" และ"วินัย" อยู่ควบคู่กันไปหรือจะเรียกว่ามีอิสระในขอบเขตของความเหมาะสมและปลอดภัยเสมอ เช่น กิจกรรมศิลปะ ที่ถึงแม้จะมีเงื่อนไขเดียวกัน อุปกรณ์เหมือนกัน แต่งานของเด็กแต่ละคนจะไม่เหมือนกันเลย เพราะเราจะไม่เข้าไปยุ่งกับความคิดของเขา ให้เขาได้แสดงออกมาในความเป็นตัวตนด้วยวิธีของตัวเขาเอง
“ที่เราสร้างเงื่อนไขขึ้นมาเพราะจริงๆ แล้วเด็กต้องการความชัดเจน ว่าอะไรทำได้ หรือไม่ได้ เขามีสิทธิอะไรบ้างและมีหน้าที่อะไรบ้าง มองเห็นขอบเขตของเขาชัดเจน อะไรที่ชัดเจน จะทำให้เขารู้สึกถึงความมั่นคง รู้ว่าทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน แล้วทุกคนจะยอมรับในสิ่งที่เขาทำ “
ห้องเรียน
“ในแต่ละห้องมีนักเรียนประมาณ 25 คน คุณครู 2 คน แต่บางทีอาจมีคุณครู 3 คน อยู่ที่สถานการณ์ที่เราเจอ มองโดยนำเด็กเป็นที่ตั้ง ว่าอะไรดีที่สุด และอะไรที่จะให้เขาได้มากที่สุด เช่น ในห้องนี้อาจมีเด็กที่เราต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ เราก็อาจเพิ่มคุณครูเข้าไปหากเป็นผลดีต่อตัวเด็กคนนั้นและเด็กๆ ในห้องทุกคน"
บทบาทคุณครู
“คุณครูจะทำงานกันเป็นทีมทั้งฝ่ายปฎิบัติการ (ครูประจำชั้น) หรือคุณครูที่สอนวิชาพิเศษ ฝ่ายวิชาการที่ทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุน ต้องมาคุยกัน ถึงแผนที่เราตั้งใจ ทั้งเรื่องเป้าหมาย กิจกรรม หรือสถานการณ์ของแต่ละห้อง หรือปัญหาต่างๆ ที่บางครั้งอาจต้องมีการทำงานร่วมกับผู้ปกครอง สิ่งเหล่านี้เราคุยกันตลอด" แต่ถ้าจะพูดถึงบทบาทของคุณครูคงต้องบอกว่าครูอนุบาลเป็นบุคคลที่น่านับถือ มากๆ นอกจากบทบาทของคุณครูที่ดีแล้ว ยังต้องทำหน้าที่เสมือนเป็นพ่อแม่ เป็นเพื่อนเล่น และบ่อยครั้งที่เรายังต้องทำหน้าที่เสมือนเป็นผู้บำบัดให้กับเด็กๆ อีกด้วย"
กระบวนการจัดการในชั้นเรียนหลายแบบที่ใช้เรียน ใน 1 อาทิตย์
“กระบวนการจัดกิจกรรมคงต้องขึ้นอยู่กับระดับอายุ แต่ในทุกระดับชั้นก็จะมีความหลากหลายทั้งกิจกรรมและการจัดการที่สามารถ ยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสมโดยเอาประโยชน์ที่เด็กจะได้รับอย่างเต็มที่เป็น หลัก เช่น กิจกรรมจะมีทั้งที่อยู่ในห้องและนอกห้อง กระบวนการจัดการจะมีทั้งทำพร้อมกันเป็นกลุ่มใหญ่ แบ่งเป็นกลุ่มย่อย จับคู่หรือทำอย่างจดจ่อมีสมาธิคนเดียว สำหรับตารางเวลาที่ค่อนข้างจะกำหนดตายตัวและมีคุณครูที่เข้ามาเสริมเป็น พิเศษก็จะเป็นกลุ่มกิจกรรมพิเศษต่างๆ เช่น กิจกรรมดนตรีและการเคลื่อนไหว ศิลปะ และภาษาอังกฤษ แต่ก็จะมีการทำงานร่วมกันกับคุณครูประจำชั้น"
สภาพแวดล้อมภายในโรงเรียน
“เราพยายามทำให้เป็นพื้นที่ที่เด็กๆ เข้ามาอยู่แล้วมีความสุข รู้สึกอบอุ่นปลอดภัย เป็นสถานที่ที่สร้างการเรียนรู้แบบไม่รู้ตัว เพราะเราเชื่อว่าการเรียนรู้ของเด็กๆ เกิดขึ้นตลอดเวลาไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะในห้องเรียนหรือต้องมีครูผู้สอนเท่า นั้น จากทางเข้าเมื่อมองไปในโรงเรียนจะเห็นว่าที่นี่ไม่ได้มีสนามหญ้าสี่เหลี่ยม โล่งๆ แต่เรามีลู่จักรยานสีแดงที่คดไปเลี้ยวมา มีของเล่น และมีบ่อทรายขวางไว้ตรงกลาง ให้เด็กๆ ได้วางแผนทิศทางการเดินหรือการวิ่งเล่น บ่อทรายก็เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่สำหรับเด็กๆ เล่นได้ทุกวันไม่มีเบื่อ ในแต่ละวันเด็กจะมีโจทย์ที่ท้ายทายกับตัวเองเสมอ เช่น ขุดแล้วจะเจออะไร จะก่อเป็นอะไร จะจินตนาการอะไร จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ในขณะเดียวกันการเล่นที่บ่อทรายเป็นการเล่นที่คละวัย เด็กทุกระดับชั้นก็ลงมาเล่นด้วยกันได้ ใช้พื้นที่และของเล่นร่วมกันเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ เล่นกับเพื่อนวัยเดียวกันได้ หรือแบ่งปันให้กับเพื่อนต่างวัยได้ และต้นไม้ก็เป็นเหมือนครูที่ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ”
ความปลอดภัย
“โรงเรียนให้ความสำคัญเรื่องของความปลอดภัยมากที่สุด แต่ต้องไม่เกินจริง หลักคือ เด็กต้องรู้จักดูแลความปลอดภัยของตัวเองได้ สิ่งไหนที่ดูแล้วว่ามีความเสี่ยงสูง ตัดออกไป เด็กรู้ว่าเขาจะเล่นเครื่องเล่นให้ปลอดภัยได้อย่างไร เช่น บันไดที่นี่มีเยอะมาก ถ้าเด็กไม่เคยถูกให้โอกาสได้ขึ้นบันได เขาจะไม่รู้ว่าควรจะก้าวยังไง ให้ปลอดภัย เราพยายามให้เขามองเรื่องความปลอดภัยของตัวเขาเองด้วย ซึ่งเราจะมีการทำความเข้าใจกับผู้ปกครองในเรื่องต่างๆ รวมถึงเรื่องของความปลอดภัยตอนปฐมนิเทศด้วย”
จุดเด่น
“เราเคารพในความเป็นเด็ก ที่เด็กจะเติบโตอย่างสมบูรณ์ในความเป็นตัวของตัวเอง และให้โอกาสแห่งการเติบโต ผ่านกิจกรรมที่เด็กน่าชื่นชอบ เช่น การเล่น ศิลปะ ดนตรี เป็นต้น นี่คือจุดเด่นของเรา เราเชื่อว่าเด็กทุกคนจะพัฒนาครบได้อย่างรอบด้าน คุณครูต่างมีคัมภีร์ในใจ เรามีวิธีมองเด็กอย่างไร เด็กจะได้รับโอกาสแบบนั้น ถ้าเราไม่เชื่อว่าเด็กมีศักยภาพในตน เราก็ต้องคิดว่าเราจะไปค้นหาความรู้อย่างไรมาให้ได้มากที่สุด แล้วป้อนเขาให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เขามีศักยภาพมากที่สุด ซึ่งไม่ใช่ เราเชื่อว่าเขามีศักยภาพ แต่เราเปิดโอกาสให้เขาได้ใช้และพัฒนาอย่างไร เราเชื่อว่าเด็กเกิดมาพร้อมกับความฝัน จินตนาการ เราให้โอกาสเขาไหม เด็กเขาเกิดมาพร้อมกับความกระหายใคร่รู้ ซึ่งเป็นพลังแห่งการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ แล้วเราให้โอกาสเขาได้เรียนได้ทดลอง ได้ทำในสิ่งที่เขาสนใจใคร่รู้มากน้อยแค่ไหน หรือเราป้อนให้แต่สิ่งที่เราหวังดีว่าเขาควรรู้ เขาเกิดมาพร้อมกับความปรารถนาที่จะเป็นคนดี เราคิดอย่างไร เมื่อเกิดมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นมา เราไม่เชื่อว่าเขาจะตั้งใจเกเรมาตั้งแต่อยู่ในท้อง มันต้องมีความเข้าใจผิด หรือผิดพลาดจากสภาพแวดล้อม หรือการกระทำของผู้ใหญ่เอง ตรงนี้เป็นสิ่งจะทำให้เราจูนมุมมองของคุณครูในโรงเรียน เพื่อพัฒนาเด็ก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พวกเรามองเด็ก ๆ "
อบรมห้องเรียนพ่อแม่
“ เพราะโรงเรียนไม่สามารถพัฒนาเด็กได้ตามลำพัง เราต้องทำงานร่วมกับพ่อแม่ นอกจากนี้เราพบว่ามีคนสนใจส่งลูกมาเรียนกับเราค่อนข้างมาก เรารู้สึกเสียใจที่เขาตั้งใจให้ลูกมาเรียนที่นี่แล้วเราไม่สามารถรับได้ทั้งหมด ดังนั้นเมื่อเขามีความตั้งใจและก้าวเข้ามาแล้ว เราได้เชิญคุณครูอังคณา มาศรังสรรค์ มาเพื่อทำห้องเรียนพ่อแม่ ให้แง่คิดที่เป็นประโยชน์ต่อความเป็นพ่อแม่ติดตัวกลับไป อาจจะเป็นแนวทาง หรือสติเพื่อใช้ในการเลี้ยงลูก เราขอให้ทุกคนผ่านกระบวนการห้องเรียนพ่อแม่ก่อน แล้วถึงจะประกาศผลการรับเด็กเข้าเรียน เด็กที่จะเข้าเรียนที่นี่เราจะสัมภาษณ์พ่อแม่ถึงแนวคิดแนวปฏิบัติในการเลี้ยงดู สำหรับเด็กเราจะสำรวจพัฒนาการเพื่อดูต้นทุน ว่าเด็กอยู่ในกลุ่มที่เรียนด้วยกระบวนการที่เราจัดแบบปกติก็เพียงพอ หรือต้องจัดการเรียนรู้ในรูปแบบที่มีความเฉพาะเป็นรายบุคคล ที่เราต้องดูตรงนี้เพื่อต้องจัดสัดส่วนให้เหมาะกับศักยภาพของเราด้วย ที่จะทำให้เด็กทุกคนได้รับประโยชน์สูงสุด ในแต่ละปีเรารับนักเรียนใหม่ได้ประมาณปีละ 35 คนค่ะ "
โรงเรียนจิตตเมตต์(ปฐมวัย) ๓๖/๑๐๓ ถนนทุ่งมังกร แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ
โทรศัพท์ ๐๒ ๘๘๔ ๑๓๐๓, ๐๒ ๘๘๔ ๑๘๐๓
โทรสาร ๐๒ ๘๘๐ ๔๖๓๓
แผนที่