ทำความเข้าใจกับ "วัคซีนภูมิแพ้" อีก 1 ทางเลือกสำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ที่จะช่วยลดอาการทำให้ไม่ต้องกินยา และมีโอกาสที่จะหายขาดเป็นปกติ
สำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้แล้ว การมีวัคซีนภูมิแพ้ถือว่าเป็นข่าวดี เพราะวัคซีนจะช่วยลดอาการที่เป็นลงได้ ทำให้ไม่ต้องกินยาไปตลอด และมีโอกาสที่จะหายขาดเป็นปกติได้อีกด้วย ใครที่สนใจวัคซีนตัวนี้แต่ยังลังเลสองจิตสองใจอยู่ ลองมาอ่านข้อมูลทำความเข้าใจกันก่อนจาก พญ.สิริรักษ์ กาญจนธีระพงค์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา โรงพยาบาลนวเวช
วัคซีนภูมิแพ้ (Allergen Immunotherapy) คือการใช้สารสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ที่แพ้มาให้กลับเข้าสู่ร่างกายเพิ่มขึ้นทีละน้อย ๆ เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาใหม่ต่อสิ่งที่แพ้ แต่วัคซีนภูมิแพ้นั้นไม่เหมือนกับวัคซีนที่เราฉีดในวัยเด็ก เพราะวัคซีนที่ฉีดในวัยเด็ก ฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันโรค เช่น วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันบาดทะยัก ไอกรน คอตีบ ส่วนวัคซีนภูมิแพ้ไม่ได้ฉีดเพื่อป้องกันโรค แต่ฉีดเพื่อรักษาโรคภูมิแพ้
วัคซีนภูมิแพ้เหมาะกับโรคโพรงจมูกและเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinoconjunctivitis) โรคหอบหืดจากภูมิแพ้ (Allergic asthma) โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis) ที่ใช้ยารักษาอาการหลายชนิดแล้วไม่ดีขึ้น ไม่อยากกินยาหรือมีอาการข้างเคียงจากการใช้ยา
การให้วัคซีนมี 2 รูปแบบ คือ ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) และอมใต้ลิ้น (Sublingual) โดยจะต้องทราบสาเหตุการแพ้อย่างเฉพาะเจาะจงในผู้ป่วยแต่ล่ะคนก่อน ด้วยการตรวจวิธี SPT หรือ Blood Test for Specific IgE เพื่อพิจารณาเลือกการรักษา ใช้สารสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ได้ตรงกับสาเหตุ หลังจากนั้นเลือกวิธีการ รูปแบบการรักษาที่เหมาะสมแก่ผู้ป่วย โดยพิจารณาตามสาเหตุที่แพ้ ช่วงอายุ และความเหมาะสม เช่น ชนิดอมใต้ลิ้นใช้ได้ในผู้ป่วยแพ้ไรฝุ่นที่มีอายุ 12 ปี ขึ้นไป เนื่องจากต้องอาศัยความร่วมมือค่อนข้างมาก
สำหรับวัคซีนชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนังนั้น ในช่วงแรก (Induction Phase) ฉีด 1 ครั้ง/สัปดาห์ เป็นอย่างน้อยแล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมาณวัคซีนทีละน้อย จนกระทั่งได้ระดับสูงสุดที่ผู้ป่วยรับได้ อาจใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน แล้วแต่คน ช่วงถัดไป (Maintenance Phase) ฉีดให้ห่างขึ้นได้เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อกระตุ้นให้สร้างภูมิใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง และใช้ต่อเนื่องนาน 3-5 ปี เพื่อประสิทธิภาพดีที่สุด
มีข้อมูลว่าหากหยุดฉีดหลังจากที่ฉีดครบ 3-5 ปีแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการภูมิแพ้ยังดีต่อไปได้อีกหลายปี วัคซีนภูมิแพ้จึงนับว่าเป็นการรักษาเดียวในปัจจุบัน ที่มีแนวโน้มจะทำให้ต้วโรคภูมิแพ้หายขาดหรือดีขึ้นจากเดิม
การฉีดสารก่อภูมิแพ้ที่แพ้เข้าไปทีละน้อย แม้จะเจือจางน้ำยาแล้ว บางรายที่มีความไวต่อสิ่งกระตุ้น อาจมีอาการแพ้วัคซีนได้ ดังนั้น ทุกครั้งที่ฉีด แพทย์จึงให้สังเกตอาการในโรงพยาบาลอย่างน้อย 30 นาที งดการออกกำลังกายหลังฉีดในวันนั้น สำหรับผู้ป่วยโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้บางคนมีภาวะเยื่อบุโพรงจมูกไวร่วมด้วย ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจมีอาการคัดจมูกเวลาอากาศเปลี่ยน และอาจจะมีอาการหลงเหลืออยู่บ้างแม้ว่าจะได้รับวัคซีนภูมิแพ้แล้วก็ตาม
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ สามารถขอรับคำปรึกษาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ศูนย์สุขภาพผู้หญิง ชั้น 2 โรงพยาบาลนวเวช
เบอร์โทรศัพท์: 0-2483-9999
เว็บไซต์: www.navavej.com