สมองของเด็กวัย 5 ปีแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 2-3 ขวบปีแรก จะพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว หากเด็กได้รับการปลูกฝังให้เรียนรู้ทักษะต่างๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากต่อการพัฒนาสมอง เพราะการเรียนรู้ที่จำเป็นกับเด็กมีหลายด้าน เด็กจึงควรได้รับการเรียนรู้ฝึกฝนให้รอบด้าน เช่น การช่วยเหลือตัวเองได้ตามวัย การเล่นซึ่งจะช่วยเรียนรู้ทั้งการเข้าสังคม การรู้จักควบคุมอารมณ์ ไม่เอาแต่ใจ และเข้าใจผู้อื่น มีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะในการใช้กล้ามเนื้อ การฝึกทำอะไรด้วยตัวเอง และแก้ไขปัญหาเองได้
สิ่งเหล่านี้คือ “ทักษะชีวิต” ที่หมอเห็นว่ามีความสำคัญไม่น้อยกว่าการเรียนเรื่องวิชาการ เพราะเด็กที่ได้รับการเรียนรู้รอบด้านจะเอาตัวรอดได้ แก้ปัญหาได้ เข้าใจและอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุขได้ “ซึ่งทักษะชีวิตนี้หาไม่ได้จากการเรียนวิชาการในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว” แต่ในยุคปัจจุบันเด็กจำนวนมากมักได้รับความกดดันจนเครียดก่อนวัยอันควร จากระบบการเรียนที่มีการสอบแข่งขันตั้งแต่อนุบาล ซึ่งส่งอาจผลเสียให้เด็กวัยนี้ขาดการเรียนรู้ทักษะชีวิตต่างๆ ที่จำเป็น
หมอมักพบบ่อยว่าเด็กๆ ถูกปิดโอกาสจนไม่ได้เรียนรู้ในสิ่งอื่นที่เขาสนใจ แต่กลับถูกกวดขันให้เรียนแต่วิชาการ และเครียด บางคนรู้สึกไม่อยากเรียนและเกิดปัญหาต่ออารมณ์จิตใจของเด็กได้ โดยเราจะเห็นกันบ่อยมากว่าเด็กเรียนแต่วิชาการแบบท่องจำ แต่คิดสร้างสรรค์ไม่ได้ และช่วยเหลือตัวเองตามวัยไม่เป็น คนเราจะทำอะไรได้ดีจนสำเร็จต้องเริ่มจาก “ฉันทะ” ความชอบ ความสนุกที่จะทำ ถ้าเริ่มจากจุดนี้จะสนุก มีแรงฮึด เพียรพยายามมุมานะที่จะทำต่อให้สำเร็จ เด็กๆ ก็เช่นเดียวกัน การที่เขาจะเรียนรู้ได้ดีนั้นจะต้องมีความรู้สึกชอบ สนุก มีแรงบันดาลใจและเกิดความพยายามที่จะเรียนรู้ ดังนั้น การเรียนรู้ควรถูกจับคู่กับความสุขสนุกสนาน ไม่ใช่ถูกจับคู่กับความเครียด เพราะหากเรื่องเรียนเป็นเรื่องเครียด เด็กจะมีทัศนคติที่ไม่ดีกับการเรียน
ปลูกฝังอย่างไรให้เด็กรักที่จะเรียนรู้
- ความสัมพันธ์และบรรยากาศที่ดีในครอบครัว - พ่อแม่ควรมีอารมณ์ที่ดี ไม่ดุว่าเคี่ยวเข็ญหรือบังคับ และพยายามสร้างบรรยากาศให้อบอุ่น จะเป็นประโยชน์ในการสอนเด็กให้รู้สึกดีในการเรียนรู้
- สิ่งแวดล้อม...เรื่องสำคัญ
- ที่บ้าน หากมีสื่อการเรียนรู้ต่างๆ ที่สนุก น่าสนใจ เช่น หนังสือนิทาน สมุดภาพระบายสี สื่อการเรียนที่สร้างสรรค์ทางคอมพิวเตอร์ ฯลฯ จะเป็นตัวช่วยให้เด็กอยากเรียนรู้ได้มาก รวมทั้งควรพยายามจัดมุมที่สงบเพื่อให้ลูกมีสมาธิในการเรียนรู้ได้เต็มที่
- ที่โรงเรียน สื่อที่สนุกและเป็นประโยชน์ ผนวกรวมกับคุณครูที่สามารถสร้างบรรยากาศการเรียนให้สนุกได้ จะสามารถช่วยเรื่องการเรียนรู้ของเด็กได้มาก
- เพื่อน หากเด็กได้อยู่กับกลุ่มเพื่อนที่รักการเรียนรู้ในด้านคล้ายๆ กัน เช่น ชอบอ่านนิทาน อ่านหนังสือ ชอบเล่นกีฬา เพื่อนก็จะชักจูงให้เด็กได้เรียนรู้ในด้านที่ชอบได้ดี
- การมีแบบอย่างที่ดี - หากพ่อแม่และครูเป็นคนสนใจใฝ่รู้ อารมณ์ดี มองโลกเชิงบวก และเปิดใจให้เด็กได้เรียนรู้ในสิ่งที่เขาสนใจ เปิดโอกาสให้ซักถาม เด็กจะเลียนแบบจากแบบอย่างที่ดีและซึมซับลักษณะที่กระตือรือร้นในการเรียน ขวนขวายใฝ่รู้ได้
- โอกาส - เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะหากเด็กมีโอกาสที่จะเลือกเรียนรู้ ฝึกทำในสิ่งที่เขาอยากเรียน คุณอาจพบว่าลูกมีดีในหลายๆ ด้าน ในทางกลับกัน...ถ้าปิดโอกาสไม่ให้เด็กริเริ่มเรียนรู้ในสิ่งที่อยากทำ เขาจะขาดโอกาสในการพัฒนา
- การอบรมเลี้ยงดู - การเลี้ยงดูที่พ่อแม่พยายามสนับสนุนให้เด็กได้ริเริ่มสร้างสรรค์ และทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจ เด็กจะสนุกกับการเรียนรู้และทำได้ดี แต่หากพ่อแม่บังคับ ดุว่า หรือจับให้เรียนในสิ่งที่ไม่ชอบ เด็กจะเครียด เก็บกด หรือต่อต้านได้
- ได้รับแรงสนับสนุน - เวลาเด็กเรียนรู้ที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง เช่น เก็บของเล่น ร้องเพลง ประดิษฐ์อะไรง่ายๆ ด้วยตัวเองได้สำเร็จ พ่อแม่และครูควรชื่นชมในจุดที่เขาทำได้ดี เพื่อเป็นแรงสนับสนุนให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีดี ทำได้ดี และอยากเรียนรู้ต่อไป
- ปัจจัยอื่นๆ เช่น การได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่ จะส่งผลให้สมองของเด็กพัฒนาได้ดี การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้เด็กเรียนรู้และจดจำได้ดีกว่าเด็กที่อดนอน
พ่อแม่ทุกคนคงคาดหวังอยากเห็นลูกเติบโตขึ้นมามีวิชาชีพที่พึ่งพาตนเองได้และมีความสุข แต่ปัจจุบันเด็กจำนวนมากที่หมอพบจะมีอาการเครียด ไม่อยากไปเรียน และไม่มีความสุข
"ดังนั้น การปรับมุมมองว่าการเรียนรู้ต้องมาคู่กับความสุข ให้เด็กได้มีโอกาสเล่นหรือเรียนรู้ทักษะต่างๆ นอกห้องเรียน จึงมีความสำคัญไม่แพ้การเรียนแต่วิชาการ”
คนที่รู้และเก่งเฉพาะทางวิชาการแต่ขาดทักษะชีวิตและความคิดสร้างสรรค์จะไม่สามารถแก้ปัญหาหรือทำอะไรให้ประสบความสำเร็จได้”
ดังนั้น หากคุณลองเปิดใจ และเปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้ในสิ่งที่เขาชอบบ้าง ไม่กวดขันเรื่องวิชาการและการเรียนพิเศษจนล้าเกินไป คุณอาจพบพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ในตัวลูก และสามารถส่งเสริมพัฒนาพรสวรรค์ดังกล่าวให้เก่งขึ้น ลูกรักของคุณก็จะมีความสุข สามารถพึ่งตัวเองได้ และได้ทำในสิ่งที่เขาชอบจนเขาประสบความสำเร็จในอนาคต หวังว่าจะเกิดประโยชน์กับผู้อ่านบ้าง เพราะหมออยากเห็นเด็กไทยเรียนอย่างมีความสุข และมีทักษะชีวิตที่พึ่งตัวเองได้ครับ