อย่าวางใจให้เด็กอยู่ใกล้น้ำ เพราะเด็กอาจจมน้ำตายได้ง่ายๆ
คุณพ่อคุณแม่ทราบมั้ยคะว่าสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของการบาดเจ็บในเด็ก คือ การจมน้ำ พูดถึงเรื่องนี้ พ่อแม่บางคนอาจคิดว่าไม่เกี่ยวกับตัวเอง เพราะบ้านเราอยู่กลางใจเมืองออกอย่างนี้ ไม่ได้อยู่ใกล้ห้วยหนองคลองบึงที่ไหน ลูกจะไปจมน้ำได้ยังไง เรื่องนี้ ไกลตัวน่า...
แต่ตอนนี้เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่อง ไกลตัวอีกต่อไปแล้วค่ะ เพราะจากเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงนี้ ทำให้ชีวิตของเราต้องอยู่ใกล้น้ำกันมากขึ้น และเมื่อเช้านี้เอง ก็เพิ่งได้ยินข่าวว่า มีคุณแม่ท่านหนึ่งพาลูกไปอาบน้ำ แล้วทำลูกน้อยหลุดมือตกลงไปในกระแสน้ำท่วมที่ไหลแรง จนลูกจมน้ำเสียชีวิตในเวลาต่อมาและในโอกาสนี้ นอกจากอยากจะมาเตือนให้คุณพ่อคุณแม่ ได้คำนึงถึงภัยเด็กจมน้ำ จากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้แล้ว ยังอยากจะชี้ชวนให้เห็นถึงภัยจากการจมน้ำในรูปแบบอื่นๆ ด้วยค่ะ
แหล่งน้ำในบ้านมาจากไหน
ยุคนี้จะมาพูดถึงบ่อน้ำในบ้านมันก็ดู เอาต์ ไม่อินอยู่ในสมัยเอาซะเลยใช่มั้ยคะ ใครจะมีบ่ออยู่ในบ้านกันแล้ว แหล่งน้ำในบ้านนี้ก็มาจากสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ ลูกจมได้อย่างอ่างน้ำ ถังน้ำ คอห่าน ชักโครก อ่างต่างๆ หรือแม้แต่สระน้ำ(ถ้ามี) นั่นแหละค่ะ แหล่งน้ำเหล่านี้เกิดอันตรายกับลูกได้ทั้งนั้น เพราะลูกเด็กเล็กแดงนั้น ความอยาก รู้อยากเห็นอาจจะคลานหรือจุ่มหน้าลงไปในน้ำนั้นได้ทั้งนั้นค่ะ
เด็กทุกคนชอบเล่นน้ำ แม้น้ำจะสร้างความสนุกสนานให้กับเด็ก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นอันตรายมากเช่นกัน เรียกว่าทุกแห่งที่มีน้ำอยู่เป็นอันตรายทั้งนั้น เพราะลูกน้อย สามารถจมน้ำได้แม้น้ำจะลึกแค่นิ้วเดียวก็เถอะ! แต่อาจจะไม่ใช่เป็นการจมทั้งตัวอย่างที่เราคุ้นเคย แค่หน้าคว่ำลงไปในน้ำนี่แหละค่ะ ทำให้ลูกได้รับอันตรายถึงชีวิตได้แล้ว
วิธีที่ดีที่สุดที่จะป้องกันลูกน้อยจาก การจมน้ำ คือให้ลูกห่างจากแหล่งน้ำมากที่สุด ในบ้านก็ต้องตรวจตราดูว่ามีกะละมัง ถังน้ำวางไว้ตรงจุดไหนบ้าง ถ้ามีก็ต้อง เอาไปวาง ไว้ในจุดที่มั่นใจว่าลูกไปไม่ถึงแน่ หรือเททิ้งซะ หากจำเป็นจริงๆ ว่าไม่สามารถทำได้ ก็อย่าได้คลาดสายตาจากลูก หากคุณอยู่ในสระหรือชายหาด (ซึ่งแวดล้อมไปด้วยน้ำ) กับลูก ซึ่งกำลังเล่นน้ำอย่างเมามันอยู่ ก็ต้องอยู่กับลูกตลอดเวลาปลอดภัยในห้องน้ำ
* มีสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจเมื่ออาบน้ำให้ลูกน้อย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออย่าปล่อยลูกไว้ในน้ำตามลำพังแม้แต่วินาที
เดียว หากมีโทรศัพท์เข้ามาหรือคุณต้องลุกไปทำอะไร สักอย่าง ให้อุ้มลูกขึ้นจากน้ำ คลุมผ้าเช็ดตัวให้ แล้วก็อุ้มไปด้วยกัน
นั่นแหละ อย่าคิดว่าให้ลูกอยู่ในน้ำแป๊บเดียวเอง คงไม่เป็นไร เพราะเกิดเหตุร้ายกับลูก เพราะความคิดนี้มานักต่อนักแล้ว
* ปูพื้นห้องน้ำด้วยแผ่นยางเพื่อป้องกันการไถลลื่น และเปิดน้ำในอ่างแค่ 3-4 นิ้วก็พอ หากลูกยังเล็กมาก ยังนั่งเองไม่ได้ ให้
ประคองหลังลูกตลอดเวลา เพราะลูกอาจไถลตัวลงไปในน้ำได้
* ปิดฝาชักโครกและประตูห้องน้ำทุกครั้งหลังใช้งานแล้ว
ทำอย่างไรเมื่อลูกหน้าคว่ำในน้ำ
เมื่อลูกน้อยหน้าจมน้ำ หากเป็นแป๊บหนึ่ง ลูกจะไอหรือสำลักน้ำนั้นออกมา หน้าตาจมูกแดงเชียวล่ะ แต่หากลูกหน้าจมลงไปนาน อย่าช้า..
* รีบเอาลูกขึ้นจากน้ำ
* อุ้มเขาให้หัวห้อยต่ำกว่าหน้าอก
* ถอดเสื้อผ้าที่เปียกออกให้หมด แล้วห่อตัวลูกไว้ หากลูกจมน้ำ แล้วไม่รู้สึกตัว ขอให้คุณพ่อคุณแม่ใจเย็นๆ รีบเอาลูกนอนหงายบนพื้นเรียบๆ หากไม่มั่นใจว่ากระดูกสันหลัง คอ หรือหลังลูกได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า ก็อย่าเคลื่อนย้ายลูก จากนั้นให้เช็คการหายใจและชีพจรลูกโดยเร็ว
การปฐมพยาบาล
เช็คการหายใจและชีพจร
* เมื่อเห็นลูกนอนหมดสติอยู่ ให้รีบเข้าไปตรวจดูการหายใจของลูก ด้วยการตะแคงหูเข้าไปชิดที่จมูกและปากของลูกเพื่อฟังเสียงหายใจ พร้อมกับสังเกตดูหน้าอกของลูก ว่ากระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจหรือไม่
* ถ้าลูกไม่หายใจให้จับลูกเอียงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อกันลิ้นของลูกตกไปจุกที่หลอดลม แล้วค่อยๆ ใช้นิ้วล้วงเข้าไปที่ปากเพื่อดูว่ามีสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่
หรือไม่ ถ้า พบให้ใช้นิ้วเกี่ยวออกมาด้วยความระมัดระวัง เพราะไม่อย่างนั้นนิ้วของเราอาจจะไปดันให้ของหลุดเข้าลึกมากขึ้น
* เปิดทางเดินหายใจให้ลูกด้วยการจับลูกวางนอนบนพื้นราบ ใช้มือจับหน้าผากลูกแล้วกดเบาๆ ให้คางของลูกหงายขึ้นเล็กน้อย
* ใช้มืออีกข้างดึงปลายคางของลูกให้ปากของลูกเปิดออกเล็กน้อย เพื่อเปิดทางเดินหายใจให้ลูก
* จับมือลูกวางไว้เหนือศีรษะ ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางจับชีพจรตรงข้อมือ ไหปลาร้า และข้อพับว่าเต้นหรือไม่
ผายปอด
เมื่อช่วยเปิดทางเดินหายใจแล้ว แต่ลูกยังหายใจเองไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่ต้องรีบช่วยเหลือต่อด้วยการเป่าปาก หรือที่เรียกว่า "ผายปอด" ทันที
* จับศีรษะลูกให้หงายไปทางด้านหลังเล็กน้อย มืออีกข้างจับคางของลูกให้ปากเปิดออก
* สอดมือเข้าไปประคองศีรษะและหลังของลูกไว้ ประกบปากเราไปที่ปากและจมูกลูกให้สนิท ถ้าลูกโตสักหน่อย ใช้นิ้วบีบจมูกของลูกไว้ ประกบปากเข้ากับปากลูกให้ปิดสนิท จากนั้นใช้มือดึงคางลูกเพื่อเปิดปาก
* เป่าลมเข้าปากลูกช้าๆ อย่างต่อเนื่อง (ประมาณ 15-20 ครั้งต่อนาที) โดยเป่าลม 4-5 ครั้งสลับกับการหยุดพักประมาณ5 วินาที ทำซ้ำจนกว่าจะสังเกตเห็นว่า หน้า อกของลูกขยับขึ้นลง แสดงว่าลูกเริ่มหายใจได้เองแล้ว
ปั๊มหัวใจ
หากช่วยเปิดทางเดินหายใจและผายปอดแล้ว แต่ลูกยังไม่หายใจ จับชีพจรไม่พบหรือหัวใจเต้นอ่อนมาก ต้องรีบช่วยนวดปั๊มหัวใจให้กลับมาทำงานอีกครั้ง
* วางลูกนอนบนพื้นเรียบ สอดแขนเข้าไปประคองศีรษะและหลังของลูก
* นั่งคุกเข่าข้างตัวลูก วางนิ้วชี้และนิ้วกลางไปที่บริเวณกึ่งกลางอกของลูก ออกแรงกดลงไปให้ลึกประมาณ 1/2-1 นิ้ว (อย่ากดให้ลึกกว่านี้ เพราะหากกดแรงจะไปทำให้อวัยวะภายในลูกเจ็บได้) นวดไปเรื่อยๆกะให้ได้ 100 ครั้งต่อนาที
หากลูกโต ใช้เฉพาะบริเวณส้นมือกดไปที่กึ่งกลางหน้าอกลูก ซึ่งอยู่เหนือลิ้นปี่ขึ้นไประมาณ 1 นิ้ว โดยกดนวดลึกลงไปประมาณ 1 1/2 - 2 นิ้วประมาณ 60 ครั้งต่อนาที
* ถ้าจะให้ผลดี ควรปั๊มหัวใจไปพร้อมกับการเป่าปาก โดยกดหน้าอกปั๊มหัวใจ 5 ครั้ง สลับกับการเป่าปาก 1 ครั้ง ให้ทำติดต่อกับไปจนกว่าลูกจะหายใจได้เองหรือคลำ ชีพจรพบจากนั้นพาลูกส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายให้ละเอียดอีกครั้ง
เรื่องจริงที่เกิดตอนน้ำท่วม
คุณพิมพวรรณ วุฒิสนิท เป็นหนึ่งในคุณแม่หลายต่อหลายคนที่ต้องเสียใจ เพราะลูกรักได้รับอันตรายจาก "น้ำ"
"ตอนที่เกิดเรื่องลูกอายุ 1 ขวบ 5 เดือน แถวบ้านน้ำท่วม แต่ต่อมาลดลงเหลือแค่เข่า ตอนนั้นลูกอยู่กับป้า แม่ไปทำงาน ป้าเผลอ เขาก็ลงไปเล่นน้ำ แล้วก็หกล้มหน้าจม น้ำ กว่าป้าเขาจะมาพบลูกก็แน่นิ่งไปแล้ว หัวใจหยุดเต้น หน้าเขียว ขณะพาไปโรงพยาบาลก็สลบอยู่ หมอดูแล้วก็บอกว่าคาดว่าจะจมอยู่ในน้ำไม่ต่ำกว่า 10 นาที และหมอก็ไม่รับรอง ว่าจะฟื้นหรือเปล่า
ลูกสลบไป 3 ชั่วโมง เข้าห้องไอซียูถึงฟื้น พยาบาลบอกว่าลูกลืมตาขึ้นมา แต่ดูไม่รับรู้อะไร และสื่อสารไม่ได้ คนละเรื่องกับก่อนจมน้ำเลย พัฒนาการถอยหลังเลย ต้อง กินอาหารด้วยการแยงท่อเข้าทางจมูก เพราะแกไม่ขยับปาก หมอบอกว่าเกิดจากการที่สมองไม่สั่งงาน เพราะขาดออกซิเจนไปเลี้ยงอยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งหากขาดออกซิเจนแค่ 3 นาทีก็แย่แล้ว นี่ของลูกเป็น 10 นาทีเลย อยู่โรงพยาบาลที่อยุธยาเดือนหนึ่ง ก็ย้ายลูกมาทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์
ตอนนี้ลูก 21 เดือน เริ่มกินอาหารอ่อนๆ ทางปากได้บ้างแล้ว แต่ยังไม่ค่อยสื่อสารกับใคร คุ้นกับแม่คนเดียว เพราะแม่ออกจากงานมาดูแลเขาเต็มที่เลย อยากบอกคุณ แม่คนอื่นๆ ว่ามีลูกเล็กเราต้องระวังมาก อย่าปล่อยไว้ลูกตามลำพังเป็นอันขาด จะได้ไม่ต้องมาเสียใจตอนหลัง"