โรคแพ้อากาศ คุณหมอพบว่าเด็กๆ นั้นเป็นกันมากขึ้น แถมมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย แต่การแพ้อากาศไม่ใช่แพ้อากาศที่หายใจเข้าไปนะคะ แต่เป็นการแพ้สารที่แฝงตัวอยู่ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น ขี้แมลงสาบ เกษรดอกไม้ เป็นต้น ค่ะ ซึ่งผู้ปกครองหลายท่านยังเข้าใจผิดอยู่
สาเหตุที่เด็กแพ้อากาศ
1. กรรมพันธุ์
เด็กที่เป็นโรคแพ้อากาศ จะพบว่าคนในครอบครัวมักมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ด้วย แต่กลุ่มของโรคภูมิแพ้นี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นแพ้อากาศเหมือนกัน อาการหอบหืด ผื่นคัน แพ้อากาศต่างก็เป็นโรคภูมิแพ้ ยกตัวอย่างเช่นพ่อแม่อาจจะเป็นหอบหืด ผื่นคัน แต่ลูกอาจจะเป็นแค่โรคแพ้อากาศอย่างเดียวก็ได้
2. สิ่งแวดล้อม
สารที่อยู่รอบๆ ตัวเด็กได้เข้าไปในร่างกาย แล้วบางคนอาจมีกรรมพันธุ์ภูมิแพ้อยู่จึงทำให้เกิดภูมิแพ้ได้ง่าย ซึ่งส่วนใหญ่สาเหตุจะเริ่มจากของที่อยู่ในบ้าน เช่น ไรฝุ่น จากที่นอน หมอน ผ้าม่าน พรม ตุ๊กตาขนปุยๆ ขนหรือรังแคของสัตว์เลี้ยง เช่น หมา แมว
อีกอย่างที่สำคัญที่สุดคือ เศษหรือขี้แมลงสาบ เพราะเมื่อเจ้าแมลงเหล่านี้ตายแล้ว ซากป่นๆ จะปลิวมาในอากาศ ทำให้เราสูดดมเข้าไปเป็นประจำโดยไม่รู้ตัว
ส่วนสิ่งแวดล้อมภายนอกก็จะเป็นเกษรดอกไม้ เกษรหญ้า เกษรวัชพืช หรือเชื้อราในอากาศ ยิ่งไปกว่านั้นฤดูกาลก็อาจจะทำให้อาการแพ้อากาศเพิ่มขึ้นได้ด้วย อย่างเช่น ฤดูฝนมีความชื้นมากทำให้คัดจมูกมากขึ้น ส่วนฤดูหนาวเด็กที่แพ้อากาศจากเกษรดอกไม้จะมีอาการกำเริบขึ้น เนื่องจากมีดอกหญ้าปลิวตามลมมาเป็นจำนวนมาก เป็นต้น
หากคุณพ่อคุณแม่ปล่อยให้บ้านรก ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนไม่เคยทำความสะอาด หากเด็กสูดเข้าทุกวันๆ ก็อาจจะเกิดภูมิแพ้ขึ้นมาได้เหมือนกันค่ะ
อาการแพ้อากาศ
การที่เด็กแพ้ของที่อยู่ในอากาศจะทำให้เกิดน้ำมูกไหล คัดจมูก แน่นจมูก หายใจไม่ค่อยออก จาม หรือบางทีก็มีอาการคันตาร่วมด้วย ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง กินเวลาเป็นเดือนเป็นปี ทำให้เด็กหงุดหงิด นอนไม่ค่อยหลับ ไม่มีสมาธิในการเรียนหรือเล่น
นอกจากนี้อาจจะมีอาการแทรกซ้อน เช่น อาการติดเชื้อซ้ำ หูอักเสบ เจ็บคอ หรือบางทีอาจเป็นไซนัสอักเสบร่วมด้วย เพราะว่าเมื่อมีน้ำมูกมากเชื้อโรคก็จะเข้าสู่จมูกได้ง่าย ทำให้แพร่เชื้อเข้าไปในโพรงไซนัสหรือเข้าไปในหูชั้นกลาง เนื่องจากมีท่อเชื่อมโยงติดต่อกันอยู่ภายใน
สำหรับในเด็กเล็กก็สามารถแพ้อากาศได้เหมือนผู้ใหญ่ แต่บางทีการแพ้นั้นไม่ได้มาจากแพ้อากาศโดยตรง มักจะแพ้จากอาหารอย่างเช่น นมวัว ไข่ ฯลฯ โดยจะออกอาการในรูปแบบคล้ายกันได้ เช่น น้ำมูกไหล ผื่นคัน แต่หากเด็กโตประมาณ 3 ขวบขึ้นไป มักพบอาการเหล่านี้จากอากาศมากกว่าอาหาร
การรักษาการแพ้อากาศ
1. หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้
เมื่อลูกมีอาการแพ้ ควรไปตรวจหาสิ่งที่แพ้ที่โรงพยาบาล และเมื่อรู้แล้วก็ต้องหลีกเลี่ยง จากนั้นหมอก็จะให้ยาตามอาการ ยาลดน้ำมูก และยาแก้แพ้ต่างๆ
2. ฉีดยาเสริมภูมิ
ถ้ายังไม่ดีขึ้นคุณหมออาจจะฉีดยาเสริมภูมิ คือเอาสารที่เด็กแพ้มาสกัด แล้วฉีดให้ทีละนิดคล้ายกับฉีดวัคซีน เพื่อให้ร่างกายเคยชินกับสารตัวนี้ เมื่อสารตัวนี้เข้าไปในร่างกายจะได้ไม่ค่อยมีอาการแพ้ขึ้นมา แต่การรักษาแบบนี้จะต้องใช้เวลา
วิธีป้องกันไม่ให้ลูกแพ้อากาศ
1. ตุ๊กตาหรือหนังสือ ไม่ควรเก็บของไว้ในห้องนอนลูก เพราะลูกต้องสูดอากาศอยู่ในห้องนี้อย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง
2. ไม่ควรมีคนสูบบุหรี่ในบ้าน
3. ซักเครื่องนอนด้วยน้ำร้อนได้ยิ่งดี เพราะช่วยฆ่าเชื้อไรฝุ่นได้ และควรซักทุกสัปดาห์
4. ไม่ควรปูพรมในห้องนอน เพราะจะมีไรฝุ่นซ่อนอยู่มาก
5. เปิดหน้าต่างให้บ้านมีลมพัด และมีแดดส่องเข้ามาในบ้าน
6. กำจัดฝุ่นและเศษแมลงสาบให้หมดสิ้น
7. ไม่ควรเลี้ยงสุนัข แมวไว้ในบ้าน
วิธีแยก ระหว่างเป็นหวัดกับแพ้อากาศ
คุณพ่อคุณแม่บางครั้งอาจจะสงสัยว่าลูกแพ้อากาศหรือเป็นหวัดคัดจมูกกันแน่ วิธีสังเกตง่ายๆ ก็คือ โรคไข้หวัดมักจะมีอาการไข้ร่วมด้วย และมักจะเป็นระยะสั้นๆ 3-5 วันก็จะหายไป ไม่ค่อยเป็นซ้ำกันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ส่วนแพ้อากาศไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่เกิดจากสารที่เด็กแพ้เข้ามามีปฏิกิริยากับเซลล์ในร่างกาย ทำให้มีการหลั่งสารเคมีบางอย่างออกมา