เรามักจะเห็นกันเป็นประจำ สำหรับเด็กวัย 1-3 ปี ที่มักร้องไห้ งอแงอาละวาด ลงไปนอนดิ้นเร่าๆ ที่พื้น ยามไม่ได้ดั่งใจ หรือไม่ได้ของที่ต้องการตามที่สาธารณะ เช่น ห้างสรรพสินค้า แถมยังแบบไม่สนใจใครต่อใครอีก ซึ่งหากคุณกำลังเจอปัญหานี้อยู่ อยากให้ทำความเข้าใจที่ตัวเด็กก่อนว่าเป็นเพราะสาเหตุเหล่านี้หรือเปล่า
สาเหตุที่ทำให้ลูกดื้อ ลูกอาละวาดนอกบ้าน
1. เพราะลูกยังไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
เมื่อรู้สึกไม่สบายตัว หรือเหนื่อย หรืออารมณ์ไม่ดี เพราะทักษะทางสังคม และการสื่อสารของเด็กวัยต่ำกว่า 3 ขวบลงมานี้ยังอยู่ระหว่างพัฒนาให้เชี่ยวชาญ ทำให้เขาแสดงความไม่สบายใจออกมาด้วยการงอแง จนบางครั้งถึงขั้นที่เรียกว่าวีนแตก
2. ทักษะในการควบคุมตนเองยังไม่มากพอ
การแสดงออกด้านอารมณ์ Self-Control หรือ Emotional-Control ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ทำให้ไม่สามารถควบคุมการแสดงออกได้อย่างเหมาะสม เมื่อรู้สึกไม่สบายใจหรือผิดหวังก็จะตอบสนองทันที ซึ่งเด็กแต่ละคนจะเป็นมากน้อยแตกต่างกันไป
3. เพราะลูกยังไม่รู้ว่าการงอแงนั้นเป็นสิ่งดีหรือไม่ดี
โดยการเรียนรู้ของเด็กว่าจะทำพฤติกรรมนั้นต่อหรือไม่ ขึ้นกับการตอบสนองของพ่อแม่ด้วยนั่นคือ เมื่อลูกทำพฤติกรรมในครั้งแรกๆ แล้วได้รับการตอบสนองทั้งในแง่บวก (เช่น ตามใจ) หรือแง่ลบ (เช่น ดุว่า) เขาก็จะแสดงพฤติกรรมนั้นต่อไป รวมถึงการงอแงเมื่อออกไปข้างนอกบ้านด้วย
4. สาเหตุเบื้องต้นเป็นไปตามพัฒนาการเด็ก
ซึ่งมักพบว่าคุณพ่อคุณแม่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ หรือถึงแม้จะรู้ แต่ก็ขาดทักษะในการอบรมเลี้ยงดู เช่น การสังเกตลูก วิธีพูดกับลูก เทคนิคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็ก จึงมักใช้ ”อำนาจ” ของความเป็นพ่อแม่อย่างไม่เหมาะสม เช่น บงการ ดุว่า หรือตามใจ
วิธีรับมือเด็กอาละวาดนอกบ้าน
1. ตกลงกันก่อนออกนอกบ้าน
พูดคุยกับลูกก่อนว่า วันนี้จะไปทำอะไร ที่ไหน จะเจอใครบ้าง และหากคุณพ่อคุณแม่วางแผนไปซื้อของ ให้ร่วมคิดกับลูกว่าจะซื้ออะไร พร้อมทั้งจดไว้ในกระดาษ (อย่าลืมต่อรองหากคุณไม่อนุญาตให้ลูกซื้อสิ่งที่อยากได้) แม้ว่าลูกจะยังอ่านไม่เป็น และเมื่อซื้อสิ่งใดให้ลูกช่วยทำเครื่องหมายในกระดาษ วิธีนี้จะช่วยให้ลูกร่วมมือดีขึ้น อย่าคาดหวังว่าลูกจะทำตามข้อตกลงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การตกลงไว้ก่อนจะช่วยป้องกันลูกงอแงเมื่อออกนอกบ้านได้
2. หาสาเหตุและช่วยเหลือลูก
เด็กอาจง่วง เหนื่อย หรือรู้สึกหิว และควรแก้ไขที่สาเหตุ แต่ถ้าสาเหตุเป็นเพราะลูกยังควบคุมตนเองไม่ได้เมื่อโกรธหรือถูกขัดใจ พ่อแม่ควรฝึกฝนเทคนิคปรับพฤติกรรม คือ ทำเป็นไม่สนใจ ไม่พูด ไม่ดุ ไม่ว่า และทำเป็นไม่มอง เพราะหากเราพูด ดุว่า หรือแม้แต่จ้องมอง ก็ถือเป็นการตอบสนองและให้ความสนใจต่อลูก ซึ่งจะทำให้ลูกยังคงพฤติกรรมนั้นต่อไป (เพราะได้รับความสนใจ) ในช่วงแรก ลูกอาจร้องเสียงดังหรือดิ้นแรงมากขึ้น เพื่อเรียกร้องความสนใจและเอาชนะ แต่ถ้าพ่อแม่สงบ ไม่ตอบสนอง เด็กจะเรียนรู้ว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล ก็จะร้องเบาลงๆ และเมื่อลูกสงบลง จึงค่อยเข้าไปคุยกับลูก แต่ให้เปลี่ยนเรื่อง ไม่คุยเรื่องเดิม
3. เมื่อเปลี่ยนเป็นทำร้ายตัวเอง
ถ้าอาการ “วีนแตก” ของลูกรุนแรงขึ้นถึงขั้นทำร้ายตัวเองหรือคนอื่น หรือทำลายข้าวของ พ่อแม่ยิ่งต้องรีบแก้ไขโดยเร็ว เพราะเป็นพฤติกรรมก้าวร้าว ซึ่งต้องหยุดพฤติกรรมนั้นทันที โดยจับมือหรือเท้าของลูกไว้ ด้วยท่าทีที่สงบ พูดห้ามลูกด้วยน้ำเสียงที่นิ่ง เอาจริง (ไม่ตะเบ็งหรือตะคอกหรือเสียงอ่อยๆ) แสดงให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่เอาจริง ถ้าลูกมีพัฒนาการด้านภาษาดี คุณอาจพูดว่า “หนูรู้สึกโกรธที่แม่...... แต่ลูกตีแม่หรือตัวเองหรือขว้างปาของไม่ได้ ไหนมาดูกันสิว่าเราจะทำอย่างไรจึงจะช่วยให้หนูรู้สึกดีขึ้น” ซึ่งการสะท้อนอารมณ์นี้จะช่วยให้ลูกเข้าใจตนเองและพัฒนาความสามารถในการควบคุมอารมณ์ให้ดีขึ้น
4. สัมพันธภาพ กุญแจสำคัญป้องกันลูกวีน
- หลักง่ายๆ ในการป้องกันคือต้องรู้เหตุผลและที่มาที่ไปของพฤติกรรมของลูก ที่สำคัญคือสัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่และลูกจะมีส่วนช่วยให้ลูกพัฒนาความสามารถในการควบคุมตนเองโดย
- ใช้เวลาร่วมกับลูกในกิจกรรมต่างๆ และให้ลูกได้เป็นผู้นำการเล่น โดยคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรสั่งหรือบงการให้ลูกทำตาม หรือถามคำถามมากมาย และแสดงให้ลูกรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่รักเขา (เช่น โอบกอด สัมผัส พูดบอกเขา)
- ฟังลูก เน้นว่าต้องฟังให้เข้าใจ ไม่ใช่แค่ฟังให้ได้ยินเท่านั้น อีกทั้งท่าทีในการฟังก็ต้องแสดงให้ลูกเห็นว่าคุณสนใจ ไม่ใช่ฟังแต่ไม่สนใจลูกนะคะ
- ให้ลูกได้พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาต่างๆ โดยไม่จำกัดความคิดของลูก ให้เขาค่อยๆคิดแก้ปัญหาด้วยตนเองไปทีละขั้นตอน ให้โอกาสและเวลาเด็กได้ฝึกคิดและทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง จะทำให้เขามีทักษะและภูมิใจในตนเอง เช่น กินข้าวเอง แต่งตัวเอง และช่วยงานบ้านง่ายๆ รวมทั้งเวลามีปัญหาอย่ารีบช่วยเหลือหรือบอกว่าเขาควรทำอะไร แต่ให้ถามว่า "หนูจะทำอย่างไร"
เข้าใจความแตกต่างระหว่างเด็กแต่ละคน อย่าพูดเปรียบเทียบลูกกับพี่น้องหรือเด็กคนอื่น เพราะนอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว ลูกอาจรู้สึกไม่ดี ทั้งหมดนี้ ต้องค่อยๆ นำไปใช้กับลูก โดยตัวพ่อแม่ต้องมีอารมณ์ที่สงบก่อน เพื่อจะเป็นหลักในการช่วยลูกแก้ปัญหาและพัฒนาพฤติกรรมไปในทิศทางที่ดีและเหมาะสมได้
ข้อมูลจาก : พญ. นลินี เชื้อวณิชชากร กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม