จากจอเรียนมาจอเล่น ใช้สายตาไม่พักทั้งวัน ผลกระทบมีอะไรบ้าง พ่อแม่ต้องรู้เพื่อป้องกันและรับมืออย่างไร
ฟังคำแนะนำจากจักษุแพทย์เด็ก นพ.จรินทร์ ศักดิ์ธนะเศรษฐ
จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาโรคตาเด็กตาเหล่ โรงพยาบาล BNH
เพราะช่วงนี้เด็กยังเรียนออนไลน์ วันนี้เราคุยกันเรื่องการใช้สายตาที่เด็กต้องจ้องจอตลอดทั้งวันยังไม่นับเวลารวมที่ลูกเล่นเกมหรือดูทีวีมันส่งผลกระทบอย่างไรต่อสายตาลูกบ้าง
ในฐานะของจักษุแพทย์ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ แล้วแสงจากจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้เป็นอันตรายต่อตาเด็กมากนักเพราะความเข้มของแสงที่ออกจากจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้สว่างถ้าเทียบกับแสงแดดหรือแสงอาทิตย์จากภายนอก เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีจอในปัจจุบันปริมาณของรังสียูวีออกมาน้อยมากๆ
แต่ปัญหาที่เกิดจากการที่เด็กคนหนึ่งได้ดูจอที่เกิดกับตาคือการที่เขาสามารถใช้เวลากับจอได้เป็นระยะเวลานานเพราะว่าเขาต้องเรียนออนไลน์ด้วย อาจมีเกมหรือการ์ตูนที่เด็กสนใจ
ตาของเด็กที่เวลามองจอหรืออุปกรณ์พวกนี้สังเกตดูว่าจะไม่เหมือนเวลาที่เขาอ่านหนังสือ การที่เด็กอ่านหนังสือตาจะไล่ไปตามตัวหนังสือไล่ไปตามบรรทัดแล้วขึ้นบรรทัดใหม่ตาจะมีการขยับตลอดเวลามีเหลือบมองนอกหนังสือบ้าง แต่เวลาตาของเด็กเวลาจ้องอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ตาเขาจะจ้องนิ่งอยู่กลางจอเพราะสิ่งที่เขาสนใจอยู่ตรงนั้น
ระยะของอุปกรณ์พวกนี้ในปัจจุบันเวลาเด็กดูจอคอมพิวเตอร์หรือแทปเล็ตหรือมือถือหรือ I-pad ระยะก็จะอยู่ประมาณ 30-50 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าเป็นระยะค่อนข้างใกล้ การที่เด็กดูจอในระยะใกล้ขนาดนี้โดยธรรมชาติของตาเด็กๆ ก็จะมีสายตายาวอยู่แล้วอันนี้เป็นธรรมชาติของเด็กทุกคน
พอเด็กมองใกล้ก็จะเกิดการเพ่งเพื่อให้เกิดความคมชัดของภาพ การเพ่งต่อเนื่องระยะเวลานานๆ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในลูกตาที่เกิดขึ้นได้คือเกิดการยืดออกตัวของตาขาวของลูกตาซึ่งเป็นกลไกให้เกิดสายตาสั้นได้
ส่วนเรื่องอื่นๆ การที่เด็กจ้องจอเป็นเวลานานสังเกตดูถ้าลูกจ้องจอเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะ Content ที่มีความน่าสนใจแล้วเขาสนใจตาของเขาในช่วงแรกที่จ้องจออัตราการกระพริบตาของเด็กจะลดลง บางครั้งก็อาจจะเกิดการระคายเคืองตาหรือตาแห้งตามมาได้ เราจะพบเห็นกันได้บ่อยๆ ว่าลูกหลานเราบางคนพอจ้องจอนานๆ สักพักจะมีการกระพริบตาถี่ขึ้น เกิดจากการที่เด็กก่อนหน้านั้นมีการเพ่งนาน
การระคายเคืองตา การกระพริบตาเป็นการปั้มน้ำตาเพื่อมาช่วงหล่อเลี้ยงผิวหน้าดวงตาทำให้ตาชุ่มชื้นขึ้นทำให้เขาสบายตา ถ้าเราปล่อยให้ถึงขั้นกระพริบตาถี่ขึ้นแปลว่าแห้งไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็จะมีวิธีที่จะจัดการหรือว่าจัดการเวลาให้เขาดูน้อยลง มีแบ่งช่วงเวลาให้เขาดูสั้นลง หรือว่าให้เขาดูห่างขึ้นก็อาจจะช่วยให้เขาสบายตาขึ้นได้
แว่นกรองแสงสีฟ้าแรกเริ่มเดิมทีมีจุดกำเนิดมาอย่างไร ในสมัยก่อนที่มนุษย์เรายังไม่มีการผลิตไฟฟ้าใช้เป็นมนุษย์ถ้ำมนุษย์ป่า สมองของคนเราเวลามองออกไปข้างนอกถ้าเห็นแสงสว่าง มองท้องฟ้าเห็นเป็นแสงสีฟ้าสมองเราจะรับรู้ว่าอันนี้เป็นเวลากลางวัน แล้วก็สมองของเราจะใช้แสงสีฟ้าเป็นตัวบอกว่านี่เป็นเวลากลางวันเราต้องออกไปทำมาหากิน เราต้องออกไปใช้ชีวิต หรือออกไปล่าสัตว์
แต่ถ้าเราออกไปมองท้องฟ้าไม่แล้วเห็นสีฟ้าเห็นเป็นสีดำกลางคืนอันนั้นเป็นเวลานอน จริงแล้วแสงสีฟ้าความสำคัญคือเป็นแสงที่เอาไว้คุมกลไกการหลับการตื่นของคนเรา ถ้ามีแสงสีฟ้ามันจะไม่บล็อคสารสื่อประสาทในฮอร์โมนชื่อว่าเมลาโทนิน พอมีแสงสีฟ้าเมลาโทนินจะไม่หลั่งแล้วก็ตื่น แต่ถ้าไม่มีแสงฟ้าเมลาโทนินก็จะออกมาเราก็จะง่วงนอนแล้วก็หลับได้
ในยุคต่อมาเราผลิตหลอดไฟได้เรามีอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์หลายคนที่ต้องทำงานหน้าจอเวลากลางคืนทำเสร็จแล้วนอนไม่หลับเพราะว่าแสงเข้าตาเยอะก็เลยมีการผลิตแว่นกรองแสงสีฟ้าขึ้นมา หลักๆ เดิมทีวัตถุประสงค์เพื่อให้เราใส่เวลาทำงานกลางคืนเวลาปิดจอแล้วสามารถนอนหลับได้
หลายๆ คนอาจจะติดซีรีย์กลางคืนดูหนังดูเสร็จแล้วนอนไม่หลับเพราะแสงจากจอทีวีหรือในมือถือบางคนต้องปิดไฟดูมืดๆ แสงยิ่งเข้าเยอะ แสงพวกนี้อาจทำให้ไปบล็อคเมลาโทนินทำให้เราตื่นอันนี้เป็นที่มาของการผลิตแว่นกรองแสงสีฟ้าครั้งแรก
จริงๆ แสงสีฟ้าเป็นแสงในสเปคตรัมที่ตาเรามองเห็นได้เรียกว่า Visible light แสงถ้าเราแบ่งเป็น 2 กลุ่มง่ายๆ คือ แสงที่ตามองเห็นได้ กับแสงที่ตามองเห็นไม่ได้ แสงในกลุ่มที่ตาเรามองเห็นได้แบ่งเป็น 7 สี ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง (สีรุ้ง) แสงที่อยู่ใต้แดงเรียกแสงอินฟาเรดที่นอกเขตสีแดงฝั่งซ้ายสุดอินฟาเรดเป็นแสงกลุ่มพลังงานต่ำอันนี้ก็จะปลอดภัยเราเอามาประดิษฐ์รีโมทคอนโทรงใช้ในบ้าน
ส่วนแสงกลุ่มพลังงานสูงคือแสงที่อยู่เหนือม่วงขึ้นไปเรียกว่าอุลตร้าไวโอเลต แบ่งเป็น ยูวีเอ ยูวีบี แสงกลุ่มนี้เป็นแสงพลังงานสูงเราเอาไว้ฆ่าเชื้อโรคอบฆ่าเชื้อโควิด หรือถ้าโดนผิดเราอย่างเวลาเราไปทะเลโดนแสงยูวีเยอะ จะให้ผิวเราร้อนไหม้บางคนลอกหรือว่าดำขึ้น
แสงที่เป็นอันตรายต่อตาเราคือแสงยูวี กลุ่มยูวีทั้งหมดแสงตั้งแต่สีม่วงลงมาเป็นแสงที่ตามองเห็นได้กับอินฟาเรดเป็นแสงที่ค่อนข้างปลอดภัยกับตา แสงกลุ่มสีฟ้า สีคราม สีม่วง
ถ้าสังเกตดูมันจะอยู่ติดกับกลุ่มยูวีซึ่งจัดเป็นแสงที่มองเห็นได้ในกลุ่มที่มีพลังงานสูงถ้าเทียบกันในกลุ่มของแสงที่ตามองเห็นได้แสงสีฟ้า สีคราม สีม่วงก็จัดว่าเป็นแสงที่เวลาที่เรามองเข้าไปมันคลายพลังงานความร้อนในจอประสาทตามากกว่าสีเหลือง สีแดง สีเขียว
เพราะฉะนั้นถ้าเอาแสงสีฟ้าออกไปด้วยนอกจากยูวี ก็น่าจะปลอดภัยกับจอตามากขึ้น มีการทดลองงานวิจัยระดับโลกว่าถ้าเทียบกันในแสงที่มองเห็นด้วยกัน ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง แสงสีน้ำเงิน สี ฟ้า สีม่วง เป็นแสงที่ส่งผลต่อจอประสาทตามากกว่าสีเหลือง สีแดง สีเขียว เพราะฉะนั้นการที่เราใส่แวนกรองแสงสีฟ้าเขาก็เชื่อว่ามันทำให้ถนอมจอประสาทตา ช่วยเรื่องของการนอนหลับที่พูดถึงไปก่อนหน้านี้
ปริมาณแสงจากจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้เข้ม และไม่ได้อันตรายมาก หลักการง่ายๆ เลยถ้าแสงจากจอคอมพิวเตอร์เป็นแสงที่อันตรายและทำลายดวงตาเราโอกาสที่มันจะขายให้เราซื้อมาใช้ตามบ้านจะน้อย มันไม่ได้เป็นอันตรายที่เราส่องเข้าไปแล้วเป็นต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม แสงที่ทำให้จอประสาทตาเสื่อมต้องเป็นแสงที่ค่อนข้างเข้มมีรังสียูวี เช่น แสงที่เกิดจากการอ๊อกเหล็กแสงจ้า แสงจากดวงอาทิตย์ แสงไฟสปอทไลท์ที่มีความสว่างมากๆ พอเราไปจ้องมากๆ ปริมาณแสงเข้มๆ จะไปทำลายจอประสาทตา แต่
แสงจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นแสงที่ค่อนข้างไม่มีความอันตรายอย่างที่กลัวกัน ที่มีปัญหาคือเด็กจ้องใกล้และจ้องนาน อันนี้เป็นตัวปัญหาทำให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของลูกตาเด็กทำให้เกิดสายตาสั้นได้
การใส่แว่นกรองแสงสีฟ้า หลายคนคิดว่าแว่นกรองแสงสีฟ้าพอให้ลูกเราใส่มันจะกันได้ทุกอย่างกันสายตาสั้นก็ได้ กันตาแห้งก็ได้ จริงๆ แล้วแว่นกรองแสงสีฟ้าไม่ได้ช่วยเรื่องสายตาสั้นเลย เพราะว่าสายตาสั้นเกิดจากการที่เด็กมองที่ใกล้เป็นระยะเวลานานๆ เกิดการเพ่ง เราจะใส่แว่นหรือไม่ใส่แว่นระยะมันเท่าเดิม เด็กจ้องใกล้
ต้องทำความเข้าใจนิดหนึ่งเพราะว่าพ่อแม่หลายคนบอกลูกใส่แว่นเราซื้อแว่นมาให้ลูกเราแล้วเราจะอนุญาตให้ลูกดูนานกว่าเดิมอันนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด เราใส่ให้ปลอดภัยขึ้นแต่ไม่ได้ใส่แล้วอนุญาตให้ลูกดูได้นานขึ้น เพราะการที่ดูใกล้ดูนานทำให้เป็นสายตาสั้น ใส่แว่นแต่ยังดูใกล้อยู่ดูนานอยู่หรือนานกว่าเดิมอันนั้นเพิ่มโอกาสสายตาสั้นมากกว่าเดิม
แว่นกรองแสงสีฟ้าส่วนมากจะกรองแสงยูวีด้วย การที่เรากรองแสงยูวีออกกรองแสงสีฟ้าออกใส่แล้วจะทำให้สบายตาขึ้น จริงๆ แสงพอเวลาที่เข้ามาปริมาณมันก็จะมีพลังงานที่คลายให้กับลูกตาเราด้วยถ้าแสงเข้มมากก็จะมีอาการล้าตามมาได้ แต่แสงที่โดนตัดพลังงานออกไปบ้างจากแว่นกรองแสงสีฟ้าส่วนใหญ่ก็กรองแสงยูวีได้ด้วยก็จะทำให้อาการสบายตามีมากขึ้น เพราะฉะนั้นประโยชน์หลักๆ ของแว่นกรองแสงสีฟ้าคือ 1.ใส่แล้วสบายตา ลดพลังงานเข้าตา 2.ช่วยเรื่องนอนหลับ
จริงๆ อยากให้คุยกับลูกเลยว่าเวลาใช้งานคอมพิวเตอร์ สมมติถ้าไม่ใช่เรื่องเรียน ถ้าเขาใช้เรียนออนไลน์อยู่ก็คงต้องเรียนไปตามคาบตามชั่วโมงที่ครูสอน แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่น เช่น ดูการ์ตูน หรือสื่อบันเทิงอาจจะต้องคุยกันว่าเราต้องพักทุก 15 หรือทุก 20 นาทีไหม
การที่เราวางจอห่างจากตาเด็กเท่าไหร่เราก็ได้ประโยชน์มากเท่านั้นการที่เด็กยิ่งดูใกล้และยิ่งดูนานเพิ่มความเสี่ยงสายตาสั้น ถ้ายิ่งดูไกลมากขึ้นแบ่งเวลาพักบ่อยๆ มีการใช้สายตาในที่ไกลบ้างอันนี้จะลดโอกาสสายตาสั้น การที่เด็กได้พักเด็กก็จะมีเวลากระพริบตามากขึ้นเรื่องตาแห้งก็จะลดลง เช่น 15 นาทีแล้วเดี๋ยวเรามองอย่างอื่นบ้างพ่อแม่อาจจะต้องเบรกให้มองนอกหน้าต่าง การมองนอกหน้าต่างไกลๆ ทำให้กล้ามเนื้อตาคลายตัว เด็กได้มีการกระพริบตาปั้มน้ำตาออกมาช่วยเรื่องตาแห้งได้ด้วย
ยิ่งห่างยิ่งดี ยิ่งห่างยิ่งเพ่งน้อยลง ที่นี้ขนาดจอก็จะเริ่มมีผลแล้วเพราะว่าบางคนถ้าเรียนจอเล็กก็ต้องดูใกล้ เพราะดูไกลก็ไม่เห็น แต่ถ้าขนาดจอใหญ่หน่อยเด็กก็ถอยห่างได้ การเรียนบางที่บางโรงเรียนต้องมีการ Interactive หน้าจอด้วยอาจจะต้องใช้ Touch Screen ด้วยถ้าไกลมากเด็กจิ้มก็ไม่ถึง
ส่วนใหญ่หมอแนะนำว่าให้เด็กลองยกมือขึ้นมาแล้วยื่นออกไปสุดถ้าแต่จอได้คือใกล้ไปก็จะแนะนำให้ถอยออกมา เด็กส่วนใหญ่ถ้ามีจอเด็กก็จะค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ยิ่งดูก็ยิ่งใกล้เข้าไปเรื่อยๆ เวลาเด็กเขาสนใจอะไรเขาก็อยากเข้าไปดูใกล้ๆ ดูชัด ไม่เหมือนผู้ใหญ่ถ้าเรายิ่งดูใกล้ยิ่งไม่ชัดอยากดูชัดเราต้องถอย
แต่เด็กจะมีความสามารถในการเพ่งสูงมากเลนส์ตาเขานิ่มมากเขามองระยะใกล้ 5 – 10 เซนติเมตร ชัดมาก เพราะฉะนั้นสบายเขาไม่ต้องออกแรงเยอะเวลาเขาดูหน้าก็จะใกล้เข้าไปเรื่อยๆ เวลาเราจะเตือนเขาอาจจะสอนเขาว่า หนูลองยื่นมือออกไปสิแตะจอได้คือใกล้ไปแล้วหนูต้องถอยออกมาแล้วเป็นข้อปฏิบัติง่ายๆ จริงๆ ถ้าให้ตอบเป็นเซนติเมตรก็อยากให้ห่างมากกว่า 40 เซนติเมตรขึ้นไป
หรือบางบ้านเขาเอาไม้บรรทัดมาวางไว้ถ้าหนูเข้าใกล้กว่านี้อันนี้คือใกล้ไปแล้วหนูต้องถอยออกมาเกินไม้บรรทัดนะคะ ถ้าเรียนออนไลน์เรียนผ่านจอทีวี สมาร์ททีวี ได้ก็จะยิ่งดี ยิ่งไกลยิ่งดี ถ้าเราต่อเม้าส์ที่เป็นไวเลสไกลๆ ได้จะยิ่งดีมาก
ภายในห้องมีแสงสว่างที่เพียงพอ เพราะถ้าแสงไม่สว่างม่านตาจะขยายแสงจะเข้าได้ในปริมาณมากมันมีแสงบางประเภทที่ไม่ได้เข้าแล้วโฟกัสบนจอตามันเข้าไปแล้วมันจะโฟกัสบริเวณขอบตาแสงประเภทนี้มันจะกระตุ้นให้เกิดสายตาสั้นได้
อาจจะเป็นเรื่องโต๊ะกับเก้าอี้ เลือกโต๊ะเก้าอี้ที่มีความสูงพอเหมาะกับเด็กเวลาวางอุปกรณ์แล้วมันไม่สูงเกินตัวเขาไม่ทำให้หน้าเขาใกล้กับจอมากเกินไป แสงสว่างก็ควรมีแสงสว่างที่พอเพียงเด็กไม่ต้องจ้อง
ถ้ามีสิ่งที่เด็กพักสายตา อย่างเช่น มีหน้าต่างให้เขามองออกไปข้างนอกได้บ้างก็จะได้ประโยชน์ดีกว่าอยู่ในห้องที่แคบและมืด ก็แล้วแต่บ้านบางคนอยู่คอนโดก็ลำบากเรื่องของสถานที่ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องโต๊ะ เรื่องของแสงสว่างที่ต้องเพียงพอและระยะถ้าไกลได้ยิ่งดีอย่าใกล้มาก แบ่งเวลาพักบ่อยๆ สัก 15-20 นาทีก็พักสายตาสักครั้ง
จากการที่เรียนออนไลน์ เด็กมีปัญหาเรื่องสายตาเพิ่มขึ้น คือเด็กที่ก่อนหน้านี้เคยไปโรงเรียน การไปโรงเรียนเด็กก็นั่งอยู่และมองกระดานซึ่งค่อนข้างไกล ระยะเด็กถึงกระดานส่วนมากก็ 3-4 เมตรขึ้นไป แล้วแต่ว่าเด็กนั่งหน้า กลาง หรือหลังห้อง พอเรียนออนไลน์แทบจะทั้งวันเลยเด็กอยู่หน้าจอในระยะ 30-50 เซนติเมตร
การมองเพ่งใกล้ระยะไกลอย่างที่บอกแต่ต้นเพิ่มความเสี่ยงสายตาสั้น โดยปกติเด็กคนหนึ่งเวลาสายตาสั้นแล้วจะสั้นเพิ่มประมาณปีละ 50 – 100 สมมุติเด็กคนหนึ่งปีนี้สั้น 200 ปีหน้าเราคำนวณได้เลยเขาจะสั้นอยู่ประมาณ 250-300 แต่หลังๆ เราพบว่าสั้นเกินปีละ 100 เช่น ปีนี้ 200 ปีหน้า 350 แล้ว ซึ่งสั้นขึ้นค่อนข้างเร็ว อัตราเร่งจะสูงมากในเด็กอายุ 4-13 ขวบ แต่หลังจาก 13 ปี ยิ่งบ้านไหนมีกรรมพันธุ์พ่อแม่สายตาสั้นมาก เด็กใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมือถือมากอันนี้จะขึ้นเกียร์สูงไปเร็วมาก ตัวการที่จะช่วยลด คือกรรมพันธุ์เราเปลี่ยนไม่ได้เราไม่พูดถึง
ถ้ามีความเสี่ยงแบบนั้นหมอก็จะแนะนำว่าหากิจกรรมในหนึ่งวันให้เด็กทำ เด็กเลิกเรียนออนไลน์เสร็จแล้วตอนเย็นหรือตอนเช้าอาจจะต้องมีการใช้สายตาในที่ๆ ไกล เช่น ไปวิ่งนอกบ้าน ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ ไปใช้สายตาข้างนอก ไปช่วยลด Progression ความชัดให้เพิ่มขึ้นให้มันช้าลง เจอขึ้นเยอะเด็กบางคนไม่เคยสั้นเลยพอมาเข้าช่วงเรียนออนไลน์ก็เริ่มสั้นแล้ว 50-100 คนไหนสั้นขึ้นเร็วเราก็ต้องมีมาตรการนอกจากให้ปรับพฤติกรรมแล้วก็ต้องให้เขาใช้ยาบางตัวหรือยาหยอดช่วยชะลอสายตาสั้นร่วมด้วย
เริ่มต้นถ้าเราสงสัยว่าลูกเราสายตาสั้นหรือต้องการจะเทสสงสัยว่าจะสั้นหรือยังไม่สั้นหมอแนะนำให้เทสจากที่ไกล ถ้าเรารอให้ลูกเราเอาหน้าเข้าไปจ่อทีวีอันนั้นคือสั้นแล้ว ถ้าจะเทส เช่น เวลาเราอยู่หน้าบ้านอาจจะมองไปที่ท้ายซอยหรือมองไปนอกหน้าต่างเห็นป้ายไหม ป้ายที่เรายังอ่านได้ถ้าเด็กอ่านไม่ได้หรือว่าเห็นเครื่องบิน นกบิน เห็นต้นไม้ไกล
หรือว่าขับรถออกไปนอกบ้านดูป้ายว่าอ่านได้ไหมในที่ไกลคนที่สายตาสั้นจะมองที่ไกลไม่ชัดก่อนแล้วระยะที่เขามองชัดจะถบสั้นมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นถ้ารอว่าดูทีวีที่บ้านแล้วไม่ชัดส่วนใหญ่จะมากแล้ว
ถ้าเราสงสัยเด็กคนหนึ่งสายตาสั้นไหมตอนนี้แนะนำให้พาไปตรวจกับหมอจักษุแพทย์ เพราะในเด็กไม่สามารถที่จะพาไปร้านแว่นแล้วเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เพราะส่วนใหญ่อาจจะโดนเด็กหลอกได้
เขาจะมีความสามารถหนึ่งในการเพ่งมากๆ สมมุติเข้าอยู่หน้าเครื่องวัดสายตาด้วยคอมพิวเตอร์ในเครื่องวัดสายตาด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่เป็นลูกบอลลูนให้เด็กมอง ถ้าเด็กสามารถเพ่งได้มากอาจจะโดนเด็กหลอกจริงๆ เด็กอาจจะไม่สั้นแต่การที่เด็กเพ่งหน้าเครื่องพวกนี้ทำให้เครื่องอ่านออกมาว่าเด็กคนนี้สั้น 200 -300 ได้
หมอเคยมีเคสหนึ่ง เป็นลูกของร้านขายมือถือ พ่อแม่พาไปนั่งในร้านทั้งวันเด็กก็ดูมือถือทั้งวัน อย่างที่บอกว่าเด็กมีความสามารถในการเพ่งสูงมากกล้ามเนื้อตาเกรงตลอดเวลาวันหนึ่งเด็กเพ่งนานๆ หลายชั่วโมงติดกัน พอเงยหน้าขึ้นมาปรากฏว่าเขาบอกพ่อว่ามองไม่ชัดเพราะกล้ามเนื้อตามันเกร็งข้างอยู่
เมื่อพ่อพาไปวัดสายตาที่ร้านแว่นก็จับเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เด็กก็เพ่งค้างวัดครั้งแรกได้ -3 300 ก็ตัดแว่น 300 มาใส่ แล้วเด็กก็ใส่เล่นเกมต่อ ผ่านไปอีก 1 เดือน เด็กบอกไม่ชัดอีกแล้วพ่อก็พาไปร้านแว่นอีกรอบร้านบอกตอนนี้สั้น 500 แล้วภายใน 1 เดือน แล้วก็ตัดแว่น 500 มาใส่ แล้วก็เล่นเกมอีกผ่านไป 2 เดือน เด็กเงยหน้าบอกไม่ชัดแล้วรอบหลังเด็กตาเหล่มาเพราะเด็กเพ่งมากจนตาเข้า การที่ให้แว่นที่สูงกว่าความเป็นจริงของสายตาเด็กจะทำให้เด็กเพ่งมากขึ้นแล้วทำให้สายตาสั้นลงไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นโดยมากถ้าเราสงสัยว่าเด็กคนไหนสายตาสั้นหมอแนะนำให้ไปที่โรงพยาบาลคุณหมอจะมีวิธีการตรวจทำให้ทราบค่าสายตาที่แท้จริงบางคนอาจจะต้องหยอดยาบ้างเพื่อให้กล้ามเนื้อตาคลายตัวแล้วเราจะทราบค่าสายตาที่แท้จริงไม่ได้แว่นที่ผิดไป
พอได้สายตาสั้นก็เอาแว่นมาใส่เด็กก็จะมองไกลชัด พ่อแม่หลายคนก็อาจจะกังวลว่าพอใส่แว่นแล้วสายตาสั้นจะแย่ลงไหม อันนี้เป็นธรรมชาติพอเด็กคนหนึ่งสายตาสั้นแล้วสายตาสั้นจะเพิ่มอยู่แล้วไม่ว่าเด็กคนนั้นจะใส่แว่นหรือไม่ใส่แว่น การใส่แว่นช่วยให้คุณภาพชีวิตของเด็กดีขึ้น พอเด็กใส่แล้วสามารถมองไกลชัด สามารถเดินลงบันไดได้แบบชัด ข้ามถนนได้แล้วชัดไม่โดนรถเฉี่ยวชน
หมอมีเด็กหลายคนที่มองไม่ชัดพอตัดแว่นแล้วกลับไปเรียนได้ที่หนึ่งคือก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้ว่าเขาสายตาสั้น สมมุติดูเลข 8 เขาก็ดูเป็นเลข 6 แล้วก็จดมาแบบนี้ เขาไม่รู้ว่าสายตาสั้นเขารู้ว่าตัวเองมองไม่ชัดเขาไม่เข้าใจว่าอันนี้เป็นปัญหาด้วย ธรรมชาติของเด็กไม่เข้าใจว่าอันนี้เป็นปัญหาแล้วเขามองไม่ชัดเขาไม่รู้ว่าอันนี้เรียกสายตาสั้นกลับบ้านมาก็ไม่บอกแม่
อย่างลูกของเพื่อนที่เป็นหมอจดงานมาผิด ผิดมาเกือบทุกวัน จนวันหนึ่งคุณแม่ก็คอยไปสังเกตลูกที่ห้องเรียนปรากฏว่าลูกต้องเดินไปหน้ากระดานเดินกลับมาจดปรากฏว่าสายตาสั้น 400 อายุ 6 ขวบ สายตาสั้น 400 ซึ่งเด็กไม่เคยกลับมาบอกแม่ว่าตัวเองมองกระดานไม่ชัดด้วยความที่เขาเป็นเด็กเลยไม่รู้ว่านี้คือปัญหา
นอกจากสายตาสั้นมันมีเรื่องอื่นด้วยเวลาเด็กมองไม่ชัด บางคนมีสายตาเอียงแต่กำเนิด หรือบางคนมีสายตายาวมากแต่กำเนิดหรือบางคนมีตาเหล่ ตาเขซ้อนเร้น หรือมีโรคต้อกระจกอยู่ในตาแต่กำเนิดซึ่งหลายโรคทำให้เขามองไม่ชัดมาตั้งแต่กำเนิดอยู่แล้วเนื่องจากเห็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดเขาเลยไม่ทราบว่าอันนี้เรียกว่าไม่ชัดเพราะไม่เคยเห็นชัดมาก่อน พ่อแม่จะไม่ทราบเพราะไม่มีอาการ
จริงๆ ตอนนี้หมอแนะนำเขามีการณรงค์ว่าเด็กในช่วงอายุ 4-6 ขวบ ควรได้รับการตรวจตาโดยจักษุแพทย์อย่างน้อย 1 ครั้ง เพราะตาเรามองแทนกันไม่ได้ลูกเห็นอย่างไรแม่ไม่รู้ แต่เรารู้ว่าลูกวิ่งเล่นไปมาได้ดูเหมือนปกติเด็กบางคนดูภายนอกไม่มีทางออกว่าเด็กคนนี้มองเห็นผิดปกติ หลายคนเล่นกีฬาเก่งมาก เล่นเทนนิสเก่งมาก เล่นหรือเรียนหนังสือเก่งมาก มาวัดสายตาปรากฏว่ามีสายตาเอียงอยู่ 400-500
ในช่วง 12-13 ปีแรกของชีวิตระบบต่างๆ รวมทั้งระบบสมองก็มีการพัฒนาขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ตาก็เป็นอวัยวะหนึ่ง ตาเป็นอวัยวะรับแสงแล้วตาก็จะส่งสัญญาณไปที่สมองที่อยู่ด้านหลัง สมองตัวนี้จะเป็นส่วนที่แปลภาพสัญญาณที่ประสาทตารับมาเป็นภาพให้เราเห็น
สมมติถ้าตาเราเห็นไม่ชัดมัวลงคุณภาพของภาพที่เห็นอยู่สักประมาณ 70% ของ 100% ที่ควรจะเป็นสมองที่ไม่เกี่ยว IQ สมองที่รับภาพจากตาสมองนี้ก็จะพัฒนาไปได้ 70% เท่ากับที่ตาเห็น เพราะมันจะได้เท่ากับสิ่งที่ได้รับการกระตุ้นอันนี้มีการทดลองแบบชัดเจนเมื่อก่อนทดลองกับลิงไม่ได้ทดลองกับคน ลูกลิงเกิดใหม่เขาจะเอาไหมเย็บตาไว้ไม่ให้ลืมตาได้ข้างหนึ่ง ผ่านไปหนึ่งปีตัดไหมออกตาข้างนั้นกลายเป็นตาบอด
ถ้าเทียบง่ายคือ สมมติเราอยากให้ลูกพูดภาษาอังกฤษชัดแบบฝรั่งพูดเราต้องฝึกตั้งแต่เด็กก่อน 10 ขวบ เด็กก็จะพูดเหมือนพอโตโอกาสที่จะพูดสำเนียงเหมือนฝรั่งเปะๆ ยากมากเพราะว่าสกิลในการพัฒนาสมองที่จะปรับให้เหมือน 100% มันพัฒนาในช่วงของเด็กเท่านั้น พอหลังจาก 12-13 ปี อย่างไรก็ไม่เปะ ภาวะที่ลูกตาพัฒนาได้ไม่เต็ม 100 ในช่วงก่อน 12-13 ปี อันนี้เรียกว่าตาขี้เกียจที่สมองส่วนที่ดูแลเรื่องลูกตายังพัฒนาไม่พอ
สมองส่วนนี้ถ้าการมองเห็นไม่ได้รับการแก้ไขก่อนอายุ 10-12 ปี การมองเห็นที่ไม่ชัดจะอยู่ไปตลอดชีวิตมันแก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจำเป็นมากที่เราต้องตรวจช่วง 4-6 ขวบ เพราะถ้าตรวจเจอความผิดปกติช่วงนั้นเรายังมีเวลา 5-6 ปี ในการที่จะค่อยปรับสายตาเขาให้การมองเห็นเป็น 100%
ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่...
Apple Podcast : https://apple.co/3m15ytB
Spotify : https://spoti.fi/3cvAVcX
YouTube Channel : https://bit.ly/3cxn31u