facebook  youtube  line

ลูกเป็นผดผื่นใช้แป้งได้ไหม และวิธีดูแลผดผื่นให้ลูกอย่างถูกต้อง

ผด, ผื่น, เด็ก, พัฒนาการเด็ก, ของเล่นเสริมพัฒนาการ, อาหารเด็ก, โรคในเด็ก, กิจกรรมสำหรับเด็ก, สุขภาพเด็ก, ผด ร้อน, ผด ผื่น ร้อน, ผด ร้อน วิธี รักษา, ผด ร้อน ขึ้น หน้า, ผด เหงื่อ, ผด ร้อน ขึ้น ตาม ตัว, ผด ร้อน รักษา, วิธี รักษา ผด ร้อน, ผด ร้อน ที่ หน้า, วิธี แก้ ผด ร้อน, ผด ร้อน รักษา, ผด ร้อน ขึ้น ตาม ตัว

แนะวิธีดูแลผิวหนัง และบรรเทาผดผื่นให้ลูกอย่างถูกต้อง

Q : ลูกชายอายุ 1 ปี 2 เดือน เป็นผดผื่นที่ต้นแขน ลำคอ หลัง ส่วนอื่นไม่เป็น ควรใช้แป้งเด็กที่กันผดผื่นทาไหม ต้องทาเยอะหรือไม่ กลัวว่าเนื้อแป้งจะไปอุดตันปิดตรงตุ่มเล็กๆ ค่ะ และถ้าใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดถูตรงบริเวณที่เป็นผื่นจะดีไหม

A : ลูกอายุ 1 ปี 2 เดือน เป็นผื่นผด ผื่นแดงเล็กๆ บางครั้งจะมีน้ำใสๆ เล็กๆ ที่ยอดผื่น บริเวณที่เป็นบ่อยโดยเฉพาะหน้าร้อน คือ ต้นแขน ลำคอ หน้าอก หลัง ถ้าเป็นมากจะเป็นที่ใบหน้าบริเวณไรผม เพราะอากาศร้อนร่างกายจะระบายความร้อนทางต่อมเหงื่อ ถ้ามีเหงื่อออกมากแต่ผิวหนังมีอะไรไปอุดตันท่อเปิดของต่อมเหงื่อ ก็จะทำให้เกิดการอักเสบเป็นผื่นแดงดังกล่าว

 

การดูแลผิวหนังที่เกิดผดผื่นที่ดีที่สุด

  1. การช่วยลดความร้อนในร่างกายโดยหมั่นอาบน้ำ (แช่น้ำ) ให้ลูกสบายตัว
  2. ใส่เสื้อผ้าเนื้อบางๆ เบาๆ
  3. อยู่ในที่ที่อากาศเย็น เช่น ที่ๆ มีลมโกรก ห้องปรับอากาศหรือมีพัดลมช่วยระบายความร้อน

 

ควรใช้แป้งเด็กที่กันผดผื่นทาไหม?

การทาแป้งจะไม่ค่อยช่วยในการรักษาผด ถ้าทามากไป แป้งโดนกับเหงื่อจะเป็นก้อน ถ้าอยู่ในบริเวณซอกคอ รักแร้ ข้อพับ ก็จะเกิดการเสียดสีเกิดผื่นแดงได้ ถ้าลูบไล้บางๆ เพื่อลดการเสียดสีก็อาจใช้ได้ แต่ไม่ควรเขย่าโรยแป้งลงไปบนตัวเด็ก เพราะฝุ่นแป้งอาจฟุ้งเข้าจมูกเด็ก เกิดโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจตามมา ถ้าเด็กที่เป็นผด มีอาการคัน หลังอาบน้ำหรือใช้ผ้าเย็นชุบเช็ดตัวแล้ว อาจใช้ยาแป้งน้ำคาลาไมน์ช่วยลดอาการคันได้บ้าง

 

ข้อมูลโดย : พญ.สุจิตรา วีรวรรณ

วิธีจัดการลูกอารมณ์รุนแรง ชอบทำร้ายตัวเองและคนอื่น

ลูกทำร้ายตัวเอง- ลูกดื้อ- ลูกก้าวร้าว- ลูกงอแง- ลูกโมโห- ลูกเครียด- ปัญหาพฤติกรรม- พัฒนาการทางร่างกาย- พัฒนาการทางอารมณ์- พัฒนาการเด็ก- อารมณ์รุนแรง

วิธีจัดการลูกอารมณ์รุนแรง ชอบทำร้ายตัวเองและคนอื่น

พฤติกรรมเด็กชอบเอามือตีหัวตัวเอง เอาหัวชนฝาผนัง และชอบกัดคนอื่นเวลาไม่ได้ดั่งใจ พ่อแม่ควรทำอย่างไร เรามีคำแนะนำมาฝากค่ะ

การที่เด็กในวัย 1-3 ปี แสดงพฤติกรรมที่ค่อนข้างรุนแรงเมื่อไม่ได้ดั่งใจนั้น มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยค่ะ

ปัจจัยที่สำคัญได้แก่

1.เด็กยังระบายความโกรธไม่เป็น

เพราะการระบายความรู้สึกโกรธที่ดีที่สุด คือการพูด ดังนั้นในเด็กที่อายุยังไม่ถึง 2 ขวบซึ่งภาษาก็ยังไม่ได้พัฒนามากพอที่จะพูดระบายความอัดอั้นตันใจทั้งหมดทั้งมวลออกมาได้ ก็จะระบายความโกรธออกมาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น ร้องไห้ ลงไปนอนดิ้นกับพื้น หรืออาจหนักถึงขนาดที่ทำร้ายตัวเองหรือคนอื่นได้เช่นกันค่ะ

 

2.เด็กใช้พฤติกรรมเหล่านี้เป็นเครื่องต่อรอง

หากเด็ก ๆ ของเราเรียนรู้ว่าเมื่อเขาแสดงพฤติกรรมเหล่านี้แล้ว ผู้ใหญ่มีท่าทีตระหนกตกใจ หรือกลายมาเป็นยอมตามใจเขา ไม่ว่าจะเพราะกลัวเด็กจะเครียดหรือเพื่อตัดรำคาญก็ตาม เด็กๆ ก็จะเรียนรู้ว่าหากอยากที่จะเอาชนะเราแล้วละก็ มีเพียงวิธีเหล่าเท่านั้นที่ได้ผล และแน่นอนค่ะว่ายิ่งทำแล้วได้ผลมากเท่าไหร่ เด็กๆ ก็จะยิ่งเกิดความชำนาญ และสุดท้ายเขาอาจกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเอาหัวโขกกำแพง หรือการกัดคนอื่นในที่สุด

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่ได้รุนแรงถึงขนาดที่จะเป็นโรคอะไรนะคะ นั่นหมายความว่า การดูแลอย่างถูกวิธีสามารถทำให้พฤติกรรมเหล่านี้หายไปได้ค่ะ โดยสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำในตอนนี้ได้แก่

-ควรห้ามลูกทุกครั้งเมื่อเขาทำรุนแรง : การห้ามในที่นี้คงไม่ใช่แต่เพียงพูดกับลูกว่า "อย่ากัดแม่นะลูก มันเจ็บ" หรือ "อย่าตีตัวเองสิคะ" เท่านั้นนะคะ แต่เราต้องเข้าไปจับมือเขาไว้เมื่อเขาตีตัวเอง จับหัวเขาไว้ไม่ให้โขกกำแพง และดันตัวเขาออกไปทุกครั้งเมื่อเขากัดเรา เพราะหากเราเพียงแค่พูดเฉยๆ เด็กๆ จะเข้าใจว่าเราไม่ได้เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ และรับรองค่ะว่าเขาจะทำอีกแน่นอน

-สอนวิธีระบายความโกรธที่ดีกว่านี้ : ดีที่สุดคือสอนให้เด็กรู้จักพูดเมื่อตัวเองโกรธ แม้เด็กจะไม่สาธยายความโกรธเกรี้ยวฉุนเฉียวของตัวเองออกมาได้ทั้งหมด แต่การพูดว่า "ไม่เอา" หรือ "โกรธ" ออกมาได้ ก็อาจจะช่วยให้เขาลดการทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่นลงได้

 

แต่หากในกรณีที่เขายังไม่สามารถพูดคำเหล่านี้ออกมาได้ คุณแม่อาจต้องยอมปล่อยให้เขาร้องไห้ หรือลงไปดิ้นกับพื้นแทน ต้องจำให้ขึ้นใจเลยนะคะว่าเด็กสามารถที่จะโกรธได้ เพียงแต่ต้องระบายออกมาในวิธีที่เหมาะสม และไม่ควรบอกเขาว่า อย่าร้อง ห้ามโกรธ หรืออย่างอแง เพราะว่านั่นคือการฝืนธรรมชาติของมนุษย์ จะทำให้เขากลายเป็นเด็กเก็บกดในที่สุด

และที่สำคัญห้ามตามใจเด็ดขาด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หมอย้ำบ่อยมาก เพราะเด็กจะใช้พฤติกรรมเหล่านี้เพื่อมาต่อรองกับเรา

 

ดังนั้นไม่ว่าเขาจะทำสิ่งที่รุนแรงแค่ไหน คุณแม่ก็เพียงแต่จับเขาไว้และก็ต้องยืนยันว่ายังไงเขาก็จะไม่ได้ของที่เขาต้องการ ในกรณีที่น้องอายุไม่มาก เราอาจใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจให้เขาสนใจสิ่งของหรือกิจกรรมอื่นแทนได้ค่ะ

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้การปรับพฤติกรรมลูกสำเร็จหรือไม่ ก็คือผู้ปกครองต้องมีความสม่ำเสมอและห้ามใจอ่อนเด็ดขาด (รวมถึงคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายที่อยู่ที่บ้านด้วยนะคะ) หรือหากคุณแม่ลองทำดูแล้วไม่ประสบผลสำเร็จอาจพาน้องไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อลองมองหาสาเหตุอื่นหรือการรักษาเพิ่มเติมได้ค่ะ

 



วิธีหยุดเด็กวัย 1-3 ปี อาละวาด

4039

อารมณ์ของเด็กวัย 1-3 ปี มีความแตกต่างกัน เด็กบางคนก็ใจเย็น แต่บางคนชอบเป็นที่หนึ่งและยอมไม่ได้ที่จะไม่เป็นจุดสนใจ ทำให้บางครั้งก็อาละวาด ร้องไห้ ทำให้คนรอบข้างประหลาดใจกันไปตามๆ กัน ดังนั้นสิ่งที่พ่อแม่ควรมีกลยุทธ์วิธีหยุดลูกอาละวาดดังนี้

  • มีเวลาใกล้ชิดเด็กให้มาก พยายามเล่นกับลูกอย่างสนุกสนาน เพราะส่วนหนึ่งที่เด็กอาละวาด เนื่องจากพ่อแม่ละเลยไม่สนใจหรือใส่ใจเขานั่นเอง
  • หลีกเลี่ยงการพูดว่า “อย่า” “ไม่” “เดี๋ยวก่อน” รวมถึงการตะเบ็งเสียง เพราะจะยิ่งยั่วยุให้ลูกโมโหเพราะความขัดใจ แต่ควรพูดในเชิงบวกแทน เช่น “ลูกสามารถเล่นได้เต็มที่หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วนะ”
  • สังเกตช่วงเวลาที่เด็กอาละวาด เด็กบางคนมักงอแงตอนหิว ปวดท้อง หรือตอนก่อนนอน และอีกไม่น้อยที่รับรู้ความรู้สึกได้ว่าพ่อแม่กำลังทะเลาะกัน ดังนั้นลองจับสังเกตดีๆ และแก้ไขปัญหานั้น วิธีลงโทษด้วยการตีหรือการตะคอกใส่เป็นเรื่องต้องเลี่ยง เพราะจะทำให้เด็กยิ่งอาละวาดและโมโหหนักกว่าเดิมอีก

พ่อแม่ต้องหยุดการอาละวาดของเด็กวัย 1-3 ปีนี้ด้วยความใจเย็น และมีอารมณ์ที่นิ่งกว่าลูก ควรพูดให้ลูกเข้าใจสลับกับการปลอบโยน เพื่อให้เด็กรู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องที่ดี หรือเบี่ยงเบนด้วยการชวนไปเดินเล่นหรือเล่นของเล่น เพื่อให้ลืมเรื่องอารมณ์เสียนั้นไปก่อน







 

เตือนเด็กต่ำกว่า 2 ขวบไม่ควรดูจอ เสี่ยงพูดช้า สมาธิสั้น ไอคิวต่ำ

 5063 1

เตือนเด็กต่ำกว่า 2 ขวบไม่ควรดูจอ เสี่ยงพูดช้า สมาธิสั้น ไอคิวต่ำ

พ่อแม่ที่ปล่อยให้ลูกวัย 2 ขวบ ดูจอบ่อยๆ หรือนานเกินไป ส่งผลให้ลูกพูดช้า พัฒนาการช้า ไอคิวต่ำ สมาธิสั้นได้ พราะเห็นว่าลูกใช้แล้วจะอยู่นิ่ง ไม่งอแงหรือโวยวาย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วหน้าจอจะส่งเสียต่อลูกหลายด้านมากค่ะ เรามาดูข้อเสียของหน้าจอกันค่ะ 

 

7 ข้อเสียของการให้เด็กต่ำกว่า 2 ขวบดูจอ

1. ขาดพัฒนาการด้านการสื่อสาร พูดช้า พูดไม่ชัด

2. ความสามารถในการสื่อสารลดลง พัฒนาการทางสมองช้า ไอคิวต่ำ

3. ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หงุดหงิดง่าย ใจร้อน รอคอยไม่ได้

4. ลูกสมาธิสั้น ขาดสมาธิ ไม่มีความใจจดใจจ่อ

5. มีปัญหาด้านสายตาล้าหรืออักเสบ

6. ร่างกายไม่แข็งแรง เคลื่อนไหวช้า เหนื่อยง่าย

7. ขาดทักษะการเข้าสังคม แยกตัวเข้ากับเพื่อนไม่ได้

 

คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้จอที่เหมาะสม

 5063 2

1. พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด ห้ามเด็กดูจอ โดยเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ส่วนเด็กที่อายุมากกว่า 2 ปี ให้จำกัดระยะเวลาไม่เกิน 30 นาทีต่อวัน

2. พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงสื่อที่ไม่เหมาะสมต่อเด็ก เช่น สื่อที่มีเนื้อหารุนแรง ก้าวร้าว หรือเกี่ยวกับเรื่องเพศ เป็นต้น

3. พ่อแม่ควรเลือกสื่อที่เหมาะสมกับเด็ก และสร้างมาเฉพาะเด็กโดยตรง รวมทั้งดูสื่อเหล่านั้นไปพร้อมกับเด็ก คอยอธิบาย ให้คำปรึกษา แนะนำกับเด็กไปพร้อม ๆ กับการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เหล่านั้น

4. หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ พ่อแม่ควรมีการตั้งกฎเกณฑ์การรับสื่ออย่างเหมาะสม มีการจำกัดเวลา กำหนดสถานที่ เป็นต้น

5. พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการรับสื่อ เนื่องจากการที่พ่อแม่ติดสื่อ ล้วนส่งผลให้ความสนใจที่มีต่อลูกลดลงเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ หากพ่อแม่กำลังทำงานอยู่ไม่สามารถเล่นกับลูกได้ ควรหากิจกรรมหรือของเล่นให้ลูกเล่นโดยไม่ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยให้ลูกเล่นอยู่ใกล้ ๆ บริเวณที่พ่อแม่ทำงานเพื่อความปลอดภัยของลูก

6. ควรจัดสภาพแวดล้อมในบ้านให้เหมาะสม เช่น ในห้องนอนลูก ไม่ควรมีสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เพื่อลดโอกาสการเข้าถึงสื่อเหล่านั้น

 

ที่สำคัญที่สุดคือไม่ควรให้หน้าจอเป็นพี่เลี้ยงลูกเพราะเห็นว่าลูกใช้แล้วอยู่นิ่ง ไม่โวยวาย แต่กลับส่งผลเสียมากมายแทนค่ะ และอย่าลืมว่ากิจกรรมการเล่นที่เหมาะสมตามวัยโดยปราศจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์รวมถึงการที่พ่อแม่เล่นกับลูกยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ช่วยให้ลูกมีพัฒนาการที่ดี พฤติกรรมที่เหมาะสม สุขภาพที่แข็งแรง มีความสัมพันธ์ในครอบครัวที่แน่นแฟ้น

 

ที่มา : กรมอนามัย

เป๊ปป้าโปเตโต้

3543

เด็กบ้านไหนเบื่ออาหาร ลองปรับเปลี่ยนวิธีการทำสักนิด อย่างเช่นนำตัวการ์ตูนที่ลูกน้อยชอบมาเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร นอกจากจะทำให้ลูกสนใจมากขึ้น ยังทำให้เขาสนุกกับการตั้งตารอคอยอาหารฝีมือคุณแม่ทุกมื้ออีกด้วย

ส่วนผสม  

หมูสันในหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า (ขนาด 1 นิ้ว) 1 ถ้วยตวง

มันฝรั่งผลเล็ก 1 ผล

นมที่ลูกดื่ม 1/2 ถ้วยตวง

ผักต่างๆ ลวกหรือต้มสุก

หอมหัวใหญ่สับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ

นมสดชนิดจืด 1 ช้อนชา

น้ำซุปผัก 1 ถ้วยตวง

วิธีทำ

ทำมันบดโดยนำมันฝรั่งไปต้มให้สุก ลอกเปลือกออกแล้วบดละเอียดผสมกับนมที่ลูกดื่ม ผัดเนยกับหัวหอมพร้อมกับใส่หมูลงไปผัดจนสุก เติมน้ำซุปให้ท่วม ปิดฝาอบจนเปื่อย ตักใส่จานวางเคียงกับมันบดและผักลวกหรือต้มสุก ช่วยให้อร่อยครบเครื่องยิ่งขึ้น *ให้พลังงานรวม 200 กิโลแคลอรี่



Tip : หลายคนคิดว่าการรับประทานมันฝรั่งจะอ้วน ที่จริงความอ้วนอยู่ที่กรรมวิธีการปรุง เช่น ทอดในน้ำมันท่วม แต่ถ้าปรุงอย่างระมัดระวัง อาจจะต้ม อบ นึ่ง ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะอ้วน เพราะโดยเนื้อแท้ของมันฝรั่งมีไขมันต่ำ 

 

เมนูซุปครีมบรอกโคลี เมนูสำหรับเด็กวัย 1-3 ปี

1609

ซุปเด็กมีหลากหลาย วัตถุดิบก็มีมากมาย แม่ๆ สามารถเลือกผักที่ลูกชอบนำมาสร้างสรรค์เมนูให้เจ้าตัวเล็กได้เลย อย่างเมนูนี้เป็นซุปครีมบรอกโคลีที่อุดมวิตามินแร่ธาตุ ช่วยให้เด็กเจริญเติบโตสมวัยเชียวค่ะ 

ส่วนผสม

บรอกโคลี ½ หัว

หอมหัวใหญ่สับ 1 ช้อนโต๊ะ

เนยสด 1 ช้อนโต๊ะ

วิปปิ้งครีม ½ ถ้วยตวง

น้ำซุปไก่ ½ ถ้วยตวง  

วิธีทำ

1. ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่เนยลงไป รอจนเนยละลาย นำหัวหอมลงไปผัด ตามด้วยบรอกโคลีจนสุกนุ่ม

2. ตักส่วนผสมที่เสร็จแล้วลงโถปั่น ใส่น้ำซุปไก่และวิปปิ้งครีม ปั่นจนละเอียด นำไปเคี่ยวบนเตาอีกครั้ง ใช้ไฟอ่อนๆ และคนไปในทิศทางเดียวกัน เสร็จแล้วเสิร์ฟพร้อมขนมปัง

เมนูไข่แสนอร่อย 'ซุปไข่ตุ๋น' สำหรับเด็กเบื่อข้าว

2103
 

'ซุปไข่ตุ๋น' เมนูไข่แสนอร่อย สำหรับเด็กเบื่อข้าว

ไข่ตุ๋นว่าอร่อยแล้ว แต่เมนูซุปไข่ตุ๋นนั้นอร่อยกว่า น่ากินกว่าอีกด้วย หากลูกชอบกินเมนูไข่แล้วต้องไม่พลาดที่จะทำเมนูนี้เลยนะคะ  

 

ส่วนผสม

ไข่ไก่ 3 ฟอง

ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา

น้ำซุป 1/4 ถ้วยตวง

ผักชี ต้นหอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ

 

วิธีทำ

1. ตอกไข่ไก่ใส่ถ้วย ใส่ซีอิ๊วขาว น้ำซุปเล็กน้อย ต้นหอม คนให้เข้ากัน

2. ช้อนฟองออก แล้วเทใส่พิมพ์ ยกขึ้นนึ่งบนน้ำเดือดไฟอ่อนจนสุก จากนั้นยกลงพักไว้ให้เย็น

3. ใช้พิมพ์กดไข่ตุ๋นหรือหั่นเป็นชิ้น ใส่ชามไว้  

 

ส่วนผสมน้ำซุปไก่

น้ำเปล่า 4 ถ้วยตวง

แครอตหั่นชิ้นสี่เหลี่ยม 2 ช้อนโต๊ะ

เนื้อกุ้งหั่นชิ้น 3 ตัว

หมูสับ 30 กรัม

เห็ดหอมสดหั่นชิ้น 1 - 2 ดอก

โครงไก่ 1/4 โครง

อกไก่ต้มสุก ฉีกเป็นเส้นฝอยตามชอบ  

รากผักชี 2 ราก 

เกลือป่นหยาบ 1 ช้อนชา

น้ำตาลกรวด น้ำหนักประมาณ 5 กรัม 1 ก้อน

 

วิธีทำ  

1. ใส่น้ำเปล่าลงในหม้อ ใส่รากผักชี ตามด้วยโครงไก่ต้มจนเดือด

2. จากนั้นปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล ใส่หมูสับ อกไก่ต้มสุก กุ้ง เห็ดหอม แครอต เคี่ยวไฟอ่อนประมาณ 30-40 นาที เพื่อให้รสชาติกลมกล่อม

3. ตักซุปราดไข่ตุ๋น โรยไก่ฉีก จัดเสิร์ฟได้จ้า

เล่นสนุก..สอนลูกรู้ ‘‘ทิศทาง’’

876 1

เล่นสนุก..สอนลูกรู้ ‘‘ทิศทาง’’

บน ล่าง ซ้าย ขวา ลูกไม่งง แค่เล่นเรียนรู้ "มิติสัมพันธ์"

ใครเคยหลงทางบ้าง ยกมือขึ้น เสียง.พรึบ.พร้อมมือเห็นอยู่ประปราย อย่างนี้ปกติค่ะ แต่ถ้าหลงทางอยู่บ่อยๆ หรือขึ้นลิฟต์ในตึกสูงๆ แล้งหลงทิศจนจำไม่ได้ว่าทางออกอยู่ตรงไหนอยู่เป็นประจำ อย่างนี้ชักไม่ได้การแล้วค่ะ

เรื่องนี้ เราสามารถสอนและส่งเสริมให้เจ้าตัวน้อยให้รู้จัก “ทิศทาง” ได้อย่างดี ด้วยวิธีง่ายๆ จากการเล่นค่ะ

การจดจำทิศทางหรืออ่านแผนที่ได้นั้น ไม่ใช่แค่รู้เรื่องทิศเหนือ ใต้ ออก ตกเท่านั้นนะคะ แต่ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องซ้าย ขวา หน้า หลัง บน ล่าง ใกล้ ไกล และอีกหลายๆ อย่างเลยล่ะค่ะ ยิ่งถ้าต้องอ่านแผนที่ สมองก็ต้องแปรให้เป็นภาพ 3 มิติเสียก่อนเพื่อให้นึกเห็นเป็นภาพจริงในความคิด ซึ่งเราเรียกทักษะนี้ว่า มิติสัมพันธ์

มิติสัมพันธ์เป็นความฉลาดด้านหนึ่งในทฤษฎีพหุปัญญาของโฮวาร์ด การ์ดเนอร์ คือ การมีความสามารถสูงในการมองพื้นที่ ขนาด ระยะทาง ทิศทาง สามารถรับรู้สิ่งที่มองเห็นภายนอกแล้วแปลงมาเป็นการรับรู้ภายในได้ เป็นพื้นฐานสำคัญของการคิดอย่างมีเหตุผล ความสามารถในเชิงคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ที่มีอยู่ในทุกคน แต่จะแตกต่างกันไปตามการฝึกฝน ประสบการณ์การรับรู้และระดับความสามารถของสติปัญญาแต่ละคน


ทิศทางของหนู

เจ้าตัวเล็กวัยตั้งแต่ 1 ขวบครึ่งไปจนถึงช่วงวัยก่อนอนุบาล จะเริ่มเข้าใจเรื่องของพื้นที่และขนาด รวมทั้งความแตกต่างระหว่างของที่เป็น 3 เหลี่ยมและ 4 เหลี่ยมได้แล้ว แต่ความสามารถในเรื่องมิติสัมพันธ์ยังจำกัดอยู่ เนื่องจากคิดเชื่อมโยงหาเหตุผลเฉพาะสิ่งที่มองเห็นและสัมผัสได้เท่านั้น เช่น เข้าใจว่าสิ่งของที่อยู่ใกล้ตัวมีขนาดใหญ่กว่าชิ้นที่อยู่ไกลออกไป ทำให้อาจเชื่อมโยงว่าเป็นของคนละชิ้นกันก็ได้ หรือ น้ำที่มีปริมาตรเท่ากันแค่อยู่ในภาชนะต่างกัน เด็กก็จะคิดว่าน้ำในแก้วที่มีระดับสูงกว่าย่อมมีปริมาตรมากกว่า เป็นต้นค่ะ

876 2

สนุกเล่น...ส่งเสริมมิติสัมพันธ์

เรื่องนี้อย่าว่าแต่เด็กๆ เลยนะคะ ผู้ใหญ่อย่างเราๆ ก็หลงทิศ และจำทางกันไม่ได้อยู่บ่อยๆ แต่ก็เป็นทักษะที่จำเป็นและควรส่งเสริม เพราะนอกจากจะมีประโยชน์ในชีวิตประจำวันแล้ว ยังจำเป็นกับทุกอาชีพด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นแม่ค้าที่ต้องจัดเรียงของในพื้นที่จำกัด สถาปนิก มัณฑนากร ศิลปิน นักประดิษฐ์ ที่ต้องถ่ายทอดความคิดลงบนกระดาษ และอ่านแผนที่ความคิดบนกระดาษให้เป็นภาพจริงในหัว คนขับรถ นักบิน นักเดินเรือ ที่ต้องใช้เรื่องทิศทางเป็นหลัก ยิ่งถ้าได้เริ่มฝึกกันไปพร้อมกับการเล่นตั้งแต่วันนี้ รับรองได้ว่า ทิศทางจะไม่ใช่เรื่องยากเกินพัฒนาการของน้องหนูหรอกค่ะ

1. เรียนรู้ได้จากของจริง เริ่มต้นจากการรับรู้และเข้าใจธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นลักษณะ รูปทรงของสิ่งของ ระยะทาง จำนวน ทิศทาง ฯลฯ ด้วยการเปิดโอกาสให้ลูกได้สัมผัสของจริงและพูดคุยไปพร้อมกัน

2.ใหญ่-เล็ก ใกล้-ไกล บน-ล่าง สูง-ต่ำ ยาว-สั้น เมื่อรู้จักและเข้าใจสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างรอบด้านแล้ว ขั้นต่อไปคือการฝึกจำแนกแยกแยะความแตกต่างของสิ่งที่รับรู้ได้ด้วย ลองตั้งคำถามให้ลูกได้ใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ ลองเปรียบเทียบดูนะคะ จะผิดบ้างถูกบ้างก็ไม่เป็นไร เวลาเฉลยก็จับมาเทียบให้เห็นชัดๆ กันไปเลยค่ะ

3. แผนที่ฝีมือหนู แม้เด็กวัยนี้จะยังวาดรูปหรือเขียนหนังสือไม่ได้ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถฝึกให้ลูกคิดเชื่อมโยง และหาความสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ด้วยการให้ลูกถ่ายทอดภาพที่เห็น รอบตัวเป็นภาพความคิดหรือแผนที่ โดยคุณอาจจะช่วยวาด หรือใช้สติ๊กเกอร์ ผ้าสักหลาดทำเป็นสัญลักษณ์ก็ได้ ทั้งหมดนี้เราเรียกว่าความคิดรวบยอดค่ะ

4. ฝึกดูป้ายสัญลักษณ์ทิศทาง เช่น ตรงไป เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา วนกลับ เป็นต้น แล้วนำมาเล่นเป็นเกม Walk Rally หาสมบัติ หรือของที่ซ่อนไว้ในบ้าน โดยให้สังเกตจากป้ายสัญลักษณ์ที่ติดเอาไว้ ถ้าโตขึ้นมาหน่อยค่อยฝึกอ่านแผนที่หาลายแทงสมบัติกันค่ะ

5. บล็อกไม้ ชวนรู้ เจ้าบล็อกรูปทรงและขนาดต่างๆ นี่แหละจะช่วยให้หนูรู้เรื่องทิศทางและมิติสัมพันธ์เป็นอย่างดี โดยเด็กวัย 2-3 ปี จะเรียนรู้เรื่องบล็อก ผ่านการจับ สัมผัส เคลื่อนย้าย เช่น รถบรรทุกจูงลาก หรือเรียงบล็อกลงตะกร้า
ส่วนช่วงวัย 3-4 ปี จะเป็นเรียนรู้โดยการซ้อนและเรียงแถวทั้งแนวตั้งและแนวนอน ลองหาบัตรภาพหรือป้ายจราจรแปะติดบนบล็อกไม้ให้ลูกคุ้นตาและฝึกเรียงดูนะคะ

6. นวดปั้นเปลี่ยนรูปทรง แป้งโดว์ ดินเหนียว จะช่วยให้ลูกเรียนรู้การเปลี่ยนรูปทรง และสังเกตเห็นความแตกต่างและเปรียบเทียบ เช่น แบ่งแป้งโดว์เป็น 2 ก้อนเท่าๆ กัน ถ้าปั้นงูตัวใหญ่ก็จะได้งูตัวสั้น แต่ถ้าอยากได้งูตัวยาวๆ ก็ต้องคลึงให้เป็นเส้นเล็กๆ

7. จิ๊กซอว์ต่อภาพ วัยขนาดนี้ควรเริ่มที่จิ๊กซอว์ 4 ชิ้นก็พอค่ะ จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มตามวัยและความสามารถของลูก ช่องเว้าแหว่งกับสีสัน บวกกับภาพตัวอย่างที่วางอยู่ตรงหน้า จะช่วยให้ลูกมองหาความสัมพันธ์ระหว่างช่องว่างและสีของแต่ละชิ้น แต่ถ้าลูกยังทำไม่ได้ก็ไม่ต้องเร่งรัดนะคะ ถือว่าฝึกเตรียมความพร้อมไปก่อน

เล่นสนุกด้วยวิธีง่ายๆ แบบนี้ ช่วยฝึกเรื่องทิศทางและมิติสัมพันธ์ให้ลูกได้ แต่คุณต้องสนุกไปพร้อมกับลูกด้วยนะคะ

 

เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นคนติดดิน

4772 1

อยากให้ลูกให้เป็นคนติดดิน กินง่าย นอนง่าย และไม่เห็นแก่ตัวเมื่อโตขึ้น ต้องสอนอย่างไรดี? ความคาดหวังของพ่อแม่ทุกคนก็ต้องอยากให้ลูกนั้นเติบโตมาเป็นคนดี แต่การที่ลูกจะเป็นคนดีนั้น ต้องมีพ่อแม่เป็นต้นแบบที่ดีก่อน และจะต้องเริ่มสอนกันตั้งแต่เด็ก ๆ เลยค่ะ

1. สอนลูกให้ทำงานบ้าน

ฝึกได้ตั้งแต่สามขวบเลยนะคะ ให้ลูกช่วยทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น กวาดบ้าน เช็ดโต๊ะ รดน้ำต้นไม้ พับเสื้อผ้า อย่าให้ลูกเรียนหนังสืออย่างเดียว หรืออยู่กับโลกโซเชี่ยลมากเกินไป คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ต้องสร้างนิสัยให้ลูกเป็นคนมีความรับผิดชอบด้วย

2. สอนลูกให้พอเพียง

เริ่มฝึกได้จากเรื่องใกล้ตัว เช่น เข้มงวดให้ลูกปิดไฟเมื่อไม่ใช้ไฟ ปิดก๊อกน้ำหลังใช้งาน ตักข้าวแค่พอทานและทานข้าวให้หมดจาน ไม่กินทิ้งกินขว้าง เป็นการสอนลูกให้เป็นคนรู้จักใช้สิ่งของ และทรัพยากรอย่างประหยัด

4772 2

3. สอนลูกให้ใช้เงินเป็น

คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกรู้จักการเก็บออม เริ่มจากอยากได้อะไรให้เก็บเงินซื้อเอง จะได้เห็นคุณค่าของเงิน และไม่ได้อะไรมาง่าย ๆ และพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีกับลูกในการใช้จ่าย ไม่ฟุ่มเฟือยเกินฐานะ

4. สอนลูกให้รู้จักหน้าที่ตัวเอง

สอนให้ลูกเห็นความสำคัญของการเรียน มีความรับผิดชอบ การศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญ เราจะเห็นได้ว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ส่วนใหญ่มีเบื้องหลังมาจากการเป็นคนที่รักการเรียนรู้และมีการศึกษาที่ดี

4772 3

5. สอนลูกให้เป็นคนอ่อนน้อม

ควรสอนลูกให้เป็นคนสุภาพเรียบร้อย ให้เกียรติผู้อื่น อ่อนโยน เพราะคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนไปอยู่ในสังคมใด ก็มักจะเป็นที่รักใคร่เอ็นดู ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรสอนลูกให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนทั้งทางกายวาจาใจอยู่เสมอ

6. สอนลูกให้เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว

คุณพ่อคุณแม่ควรสอนลูกให้เป็นคนที่มีจิตใจเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักการเสียสละ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น รู้จักให้ และรับให้น้อย เช่น สอนให้ลูกดูแลสัตว์เลี้ยงและต้นไม้ สอนให้ลูกช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาส ปลูกฝังให้ลูกเป็นคนที่มีจิตอาสาในการช่วยเหลือ

จริง ๆ เด็กทุกคนมีความติดดินเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ชอบเล่นอะไรง่าย ๆ กินขอที่พ่อแม่กิน และธรรมชาติของเด็กจะน่ารัก แต่ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่พฤติกรรมของพ่อแม่ด้วย เพราะเด็ก ๆ จะซึมซับจากพ่อแม่เป็นหลัก ฉะนั้น อย่าลืมเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกนะคะ แล้วเขาจะเป็นเด็กติดดิน ว่านอนสอนง่ายแบบที่พ่อแม่คาดหวังเลยค่ะ

เลือกแตงโมแบบแม่มือโปร แค่ดูก็รู้ว่าหวาน

2765 

แตงโมเป็นผลไม้ที่มีวิตามินและแร่ธาตุอยู่มากมาย เนื้อของแตงโมมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก รสชาติหวานแต่มีน้ำตาลน้อยกว่าผลไม้บางชนิด เวลากินเลยรู้สึกสดชื่น และดับกระหายได้ แต่เราจะเลือกแตงโมให้หวานอย่างไรนั้น รักลูกมีวิธีมาบอกค่ะ 

แตงโมเป็นผลไม้ที่มี วิตามิน A วิตามิน B1 B2 B3 วิตามิน C แร่ธาตุ ไลโคปีนที่มี สารต้านอนุมูลอิสระ และธาตุโพแทสเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย บำรุงประสาทและสมอง ช่วยระบบไหลเวียนโลหิต บำรุงเส้นผมและสายตาอีกด้วย 

เคล็ดลับเลือกแตงโมแบบแม่มือโปร แค่ดูก็รู้ว่าหวาน

ขนาดไม่ใหญ่มาก ควรเลือกแตงโมลูกกลางๆ ผลไม่ใหญ่มากนัก และควรเลือกลูกกลมๆ มากกว่าลูกยาวๆ รีๆ เพราะแตงโมผลกลมเป็นแตงโมเพศเมีย ซึ่งแตงโมเพศจะมีเมียรสชาติหวานกว่าแตงโมเพศผู้ แม้แตงโมเพศผู้จะมีน้ำเยอะกว่าก็ตาม

สังเกตรอยสีเหลือง แตงโมบางลูกจะมีรอยด่างสีเหลือง นั่นหมายความว่าแตงโมอยู่กับดินและต้นเป็นเวลานาน เป็นแตงโมที่สุกกับต้นนาน ยิ่งอยู่นานสีจะยิ่งเข้ม รสชาติยิ่งหวานนั่นเเองค่ะ 

ก้านแตงโมต้องหงิกงอ ชาวสวนจะสังเกตว่าแตงโมลูกไหนเก็บได้แล้วจากก้านหรือขั้วค่ะ ถาก้านตรงแสดงว่ายังไม่สุก แต่ถ้าหงิกงอ ถือว่าแตงโมสุกแล้ว เก็บได้ และรสชาติจะหวานอร่อย  

ลายต้องชัด ยิ่งลายอยู่ชิดก้นยิ่งหวาน 

เด็กกินแตงโมได้ตั้งแต่เมื่อไหร่  

เด็กสามารถกินแตงโมได้ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป เป็นผลไม้เสริมควบคู่กับอาหารอื่นๆ และสลับสับเปลี่ยนกับผลไม้อื่นๆ ตามฤดูกาล โดยหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ประมาณ 100 กรัม หรือ 1 ถ้วยโยเกิร์ต และอย่าลืมเอาเมล็ดออกด้วย

สำหรับเด็กเล็กต่ำกว่า 1 ขวบ กินแตงโมเป็นชิ้นๆ ปลอดภัยกว่ากินแตงโมปั่น เนื่องจากน้ำแตงโมอาจทำให้ลูกสำลักได้ และควรให้ลูกกินหลังอาหารจะดีที่สุด เนื่องจากแตงโมมีน้ำเยอะ ถ้าให้กินก่อนกินข้าวลูกจะอิ่มแตงโมจนไม่ยอมกินข้าวค่ะ

เด็กเล็กกินแตงโมได้มากน้อยแค่ไหน

กระเพาะของเด็กทารกเล็กมาก ดังนั้น ให้กินแตงโมชิ้นเล็กๆ ก็พอ ประมาณ 100 กรัมเทียบได้กับโยเกิร์ตถ้วยเล็กๆ หนึ่งถ้วย ถ้ากินมาก ก็จะส่งผลกระทบต่อการกินอาหารในแต่ละมื้อ

ที่สำคัญไม่ควรนำแตงโมแช่เย็นให้ลูกเล็กกิน เนื่องจากกระเพาะและลำไส้ของลูกยังไม่แข็งแรง แตงโมแช่เย็นอาจทำให้ลูกท้องเสียได้ นอกจากนี้ไม่ควรให้ลูกกินแตงโมที่ผ่าทิ้งไว้เป็นเวลานานให้ลูกกิน เพราะอาจมีแบคทีเรียปนเปื้อนและทำลูกท้องเสียได้เช่นกัน

แดดหน้าหนาว...ศัตรูผิวลูก

982

ลมหนาวเริ่มพัดเข้ามาปะทะแก้มบางๆของเจ้าหนูกันแล้วนะคะ แต่รู้ไหมว่าเมื่อ เข้าหน้าหนาว ไม่ใช่ลมแรงอย่างเดียว แสงแดดก็แรงด้วยเหมือนกัน เพราะฤดูหนาวเป็นฤดูที่มีเมฆน้อยท้องฟ้าแจ่มใส จึงไม่มีสิ่งใดช่วยปะทะหรือกั้นแสงแดดเลย แสงจึงสามารถส่องลงมากระทบผิวได้เต็มๆ แล้วแสงแดดลักษณะนี้มีอันตรายอะไรหรือเปล่า ลองมาดูกันเลย

แสงแดดแผดจ้าศัตรูของลูก

เมื่อลูกโดนแสงแดดแรงนานๆ อาจทำให้เป็นไข้แดด ลมแดด หรือเกิดโรคผิวหนังอักเสบ เริ่มจากผิวไหม้แดด เป็นฝ้า หรือถึงขั้นร้ายแรงจนอาจเป็นมะเร็งผิวหนังได้เลย

รังสียูวี (Ultraviolat) ที่อยู่ในแสงแดดมี 2 ประเภทคือ ยูวีเอ และยูวีบี ยูวีเอ (UVA) จะผ่านชั้นโอโซนลงมาได้มาก แต่ให้ผลสะสมในระยะยาว ทำให้สีผิวเจ้าหนูเปลี่ยนไป โดยจะมีลักษณะดำขึ้นเรื่อยๆจนถึงไหม้เกรียม ส่วนยูวีบี (UVB) จะผ่านชั้นโอโซนลงมาได้บางส่วนเท่านั้น แต่มีพลังงานสูงมาก มีผลกระทบเร็วโดยทำให้ผิวหนังไหม้หรือแสบร้อนได้

แค่ลูกวิ่งเล่นกลางแจ้งในช่วงแดดแรงๆ สัก 15 นาที แดดก็อาจจะเผาผิวลูกได้แล้ว และแดดไม่ได้ทำร้ายแค่ผิวลูกค่ะ ดวงตาก็เป็นสิ่งสำคัญ แสงจ้าที่สะท้อนเข้าดวงตาลูกจะแสบและพร่าไม่เบา ซ้ำยังเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกได้ด้วย

เวลาแดดไหม้ผิวลูกไม่เพียงแต่สีผิวที่เปลี่ยนไปด้วยนะคะ เซลล์และโมเลกุลที่อยู่ในผิวหนังจะถูกทำลายไปด้วย หากปล่อยให้แดดไหม้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คอลลาเจนและเนื้อเยื่อที่อยู่ในผิวหนังจะถูกทำลาย เป็นสาเหตุของรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควรด้วย

982 2

กลยุทธสู้แดดที่แผดเผา

- ช่วงที่แดดแรงที่สุดจะอยู่ในช่วง 11.00 น. - 15.00 น. เพราะฉะนั้นให้ลูกออกไปเล่นกลางแจ้งนอกเหนือเวลาดังกล่าวจะดีกว่า

- ใช้เสื้อผ้าที่มีอยู่แล้วให้เป็นประโยชน์ หากลูกอยากจะออกไปเล่นขณะแดดค่อนข้างจัด ควรใส่เสื้อแขนยาวที่ผ้าบางสีอ่อนๆ เพื่อไม่ให้สีดูดความร้อน และ กางเกงขายาวน้ำหนักเบาใส่สบายไม่หนาจนร้อนเกินไป กันแดดปะทะผิว เวลาจะออกไปข้างนอกกับแม่ก็ควรมีหมวกปีกกว้างหรือร่มสักคัน คอยกันแดดค่ะ

- หากจะไปชายทะเลหรือท่องเที่ยวกลางแดดแรงๆ ควรทาครีมกันแดดสำหรับเด็กที่มีค่า SPF15 (Sun Protection Factor) ขึ้นไป และสามารถกันได้ทั้งรังสียูวีเอและยูวีบีด้วย ให้ลูกสวมแว่นตากันแดดสำหรับเด็กที่ช่วยปกป้องตาและหนังตาของลูกไม่ให้ได้รับแสงสะท้อนโดยตรง ลูกจะได้ไม่แสบตาหรือหยีตาเวลาเล่นนอกบ้าน

โรคจูบ (kissing disease) คืออะไร อันตรายอย่างไร

4478

ข้อมูลมีประโยชน์ของโรคที่หลายคนไม่รู้จัก และไม่คิดว่ามีอยู่จริงๆ หรือ โรคจูบ หรือ kissing disease เป็นชื่อโรคที่ ศ.นพ. ยง ภู่วรวรรณ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ออกมาโพสต์ให้ข้อมูลในโอกาสวันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์

โรคจูบ ชื่อโรคทุกคนคงสนใจ ที่จริงก็คือ infectious mononucleosis (IM) ซึ่งเกิดจากไวรัส Ebstein Barr หรือย่อว่า EB ไวรัส ติดต่อได้ทางสัมผัส และทางน้ำลาย ส่วนใหญ่การติดเชื้อ EB ในประเทศไทย จากการศึกษา ของศูนย์เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาคลีนิค โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จะเกิดขึ้นใน 2 ขวบปีแรก โดยไม่มีอาการของโรค หลังจากนั้นจะมีเชื้อ ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายแบบไม่แสดงอาการ (latent infection) แต่สำหรับในเด็กโตนั้น เมื่อได้รับเชื้อจะมีอาการรุนแรงขึ้น แม้ไม่เคยมีการติดเชื้อมาก่อน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งของการติดเชื้อในวัยรุ่น ที่เกิดจากการจูบ โดยสัมผัสจากน้ำลาย

อาการโรคจูบ (kissing disease) ผู้ป่วยจะมีอาการไข้หลายวันถึงสัปดาห์ ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต ต่อมทอลซิลโต มีฝ้าขาว หายใจลำบาก หรือต้องหายใจทางปาก มีผื่น แต่อาการทั้งหมดนี้ จะสามารถหายได้เอง โรคนี้จึงนับเป็นอีกโรคหนึ่งที่ติดต่อได้ทางน้ำลาย

ไข่ตุ๋นบรอกโคลี เมนูต้านหวัดสำหรับเด็ก

5060

ไข่ตุ๋นบรอกโคลี เมนูไข่ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีช่วยต้านหวัดได้

บรอกโคลีเป็นผักที่อุดมไปด้วยกรดโฟลิก วิตามินบี แคลเซียม เหล็ก และมีวิตามินซีสูง ช่วยบำรุงสมอง เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ยิ่งช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย หรือช่วงที่มีฝุ่น PM 2.5 หนาแน่น เมนูไข่ตุ๋นบรอกโคลีจะช่วยป้องกันหวัดและต้านพิษฝุ่น PM 2.5 ได้ค่ะ 

ส่วนผสม
  • ไข่ไก่ 2 ฟอง 
  • บรอกโคลีสับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ 
  • แคร์รอตหั่นเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ 
  • หอมหัวใหญ่หั่นเต๋า 1/2 หัว 
  • ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำซุป 2 ช้อนโต๊ะ 
วิธีทำ 
  1. ตอกไข่ใส่ชาม ใส่น้ำซุปและซอสลงไป ตีให้เข้ากัน ตามด้วยบรอกโคลี แคร์รอต หอมหัวใหญ่
  2. ตั้งหม้อต้มน้้ำ ใช้ไฟปานกลาง เทไข่ใส่ชามกระเบื้องหรือชามที่ทนความร้อนได้แล้วใส่ลงไปตุ๋นในหม้อประมาณ 10-15 นาที เป็นอันเรียบร้อย