คุณพ่อคุณแม่หลายคนมักจะเข้าใจว่าโรคไส้เลื่อนนั้นเกิดขึ้นได้เฉพาะกับเด็กผู้ชายเท่านั้น แต่ทราบไหมว่าแท้จริงแล้วโรคไส้เลื่อนนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กผู้หญิงได้เช่นเดียวกัน มาทำความรู้จักและวิธีรักษาโรคไส้เลื่อนในเด็กกันค่ะ
สาเหตุของโรคไส้เลื่อนในเด็ก
โรคไส้เลื่อนในเด็กเป็นอาการที่มีก้อนตุงบริเวณขาหนีบและถุงอัณฑะในเด็ก ซึ่งทำให้เกิดโรคสองกลุ่ม คือ โรคไส้เลื่อน และ โรคถุงน้ำ และสามารถเกิดได้ทั้งในเด็กชายและเด็กหญิง
โรคทั้งสองกลุ่มนี้เกิดขึ้นจากถุงเยื่อบุช่องท้องที่ยื่นออกมาบริเวณขาหนีบ ไม่ปิดเองตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะเกิดกับเด็กผู้ชายเพราะถุงเยื่อบุช่องท้องนี้จะยืดยาวลงมาถึงถุง อัณฑะ ขณะที่เด็กผู้หญิงจะลงมาถึงหัวเหน่าเท่านั้น ซึ่งถ้าถุงเยื่อบุช่องท้องนี้ไม่ปิดไปตามธรรมชาติ ก็จะเกิดการผิดปกติขึ้นได้ทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย โดยลักษณะของความผิดปกตินั้นจะขึ้นอยู่กับขนาดของถุง ถ้าถุงมีขนาดใหญ่ก็ทำให้มีลำไส้หรืออวัยวะภายในช่องท้องเลื่อนลงมาทำให้กลาย เป็นไส้เลื่อน แต่ถ้าถุงมีขนาดเล็กก็จะมีเพียงน้ำในช่องท้องไหลลงมาทำให้เป็นโรคถุงน้ำ ซึ่งโรคนี้จะไม่มีอันตรายมากเท่ากับโรคไส้เลื่อน
อันตรายของโรคไส้เลื่อนในเด็ก
หากตรวจพบว่าเป็นไส้เลื่อนก็ควรได้รับการผ่าตัดรักษาทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เนื่องจากจะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงคือ "ไส้เลื่อนติด" โดยลำไส้ที่เลื่อนลงมาอยู่ในถุงไม่สามารถเลื่อนกลับขึ้นสู่ช่องท้องได้ ทำให้เกิดการขาดเลือดและลำไส้เน่าได้ เมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้น อาการของโรคไส้เลื่อนจะเปลี่ยนไปจากอาการที่มีก้อนโตๆ ยุบๆ ได้ กลายเป็นก้อนติดแน่น อาจมีอาการบวมแดงร่วมด้วย ขณะเดียวกันก็จะมีอาการปวดรุนแรง ร่วมกับการคลื่นไส้ อาเจียน และมีไข้ กลายเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรักษาก่อนที่ลำไส้จะเน่า
วิธีสังเกตโรคไส้เลื่อนในเด็ก
เด็กที่เป็นโรคไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบนี้ จะพบในเด็กชายมากกว่าหญิงประมาณ 5-10 เท่า เป็นได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงเด็กโต เด็กที่เป็นไส้เลื่อนจะมีอาการให้สังเกตได้ดังนี้
การรักาโรคไส้เลื่อนในเด็ก
เมื่อเด็กมีก้อนเนื้อตุงบริเวณขาหนีบหรือถุงอัณฑะพ่อแม่ควรจะ
โรคไส้เลื่อนป้องกันไม่ได้
สำหรับการระวังป้องกันไม่ให้เกิดโรค ซึ่งจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับโรคทั้งหลาย ไม่สามารถใช้ได้กับโรคไส้เลื่อนขาหนีบในเด็กนี้ได้ เพราะสาเหตุของโรคเกิดเนื่องจากการไม่เสื่อมสลายไปตามปกติของเยื่อบุช่อง ท้องดังกล่าวข้างต้น ทำให้เด็กๆ มีโอกาสเป็นไส้เลื่อนได้โดยไม่มีวิธีระวังป้องกัน แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องตกใจหรือเป็นกังวลมาก หากบุตรหลานมีอาการดังกล่าวข้างต้น ก็ควรนำเด็กมาตรวจรักษาแต่เนิ่นๆ เมื่อได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง เด็กจะหายจากโรคโดยไม่มีอันตรายแต่อย่างใด