ยามที่เด็กๆ ไม่สบาย ผู้ใหญ่จะคาดเดาไม่ค่อยได้เลยว่า อาการของเด็กเป็นหนักหรือเบามากน้อยแค่ไหน ยิ่งถ้าเป็นเด็กเล็กด้วยแล้วก็ยิ่งยากที่จะรู้ ส่วนใหญ่แล้วเด็กๆ มักจะไม่สบายด้วยสาเหตุไม่กี่ชนิด แต่อาการป่วยแต่ละชนิดนั้น แบบไหนที่เรียกว่า ”ปกติ” อาการไหนคือ”รุนแรง” พ่อแม่ต้องคอยสังเกตดังนี้
ไข้ โดยทั่วไปอุณหภูมิร่างกายปกติของคนเราจะอยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส ดังนั้นเมื่อเด็กๆ มีไข้แล้วอุณหภูมิร่างกายไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส เล่นได้กินได้ไม่ซึม ให้กินยาลดไข้ ไม่นานอาการก็เป็นปกติ
**แต่ถ้าเด็กเล็กต่ำกว่า3 เดือน และมีไข้ ร้องกวน อาเจียน ท้องอืด ฯลฯ ควรปรึกษาแพทย์ทันที
ส่วนเด็กโตที่มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส ในช่วง 1-2 วันแรก ควรงดออกจากบ้านหรือออกไปทำกิจกรรม ควรให้ลูกนอนพักเยอะๆ จนกว่าไข้จะลดภายใน 24 ชั่วโมง ในทางตรงกันข้ามถ้าเลย 24 ชั่วโมงไปแล้ว อาการของลูกยังไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
หวัด หากลูกไม่ได้มีไข้ หรืออาการครั่นเนื้อครั่นตัวร่วมด้วย ก็น่าจะเป็นแค่หวัดธรรมดา สามารถไปโรงเรียนหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ตามปกติได้
**ถ้าลูกไอติดต่อกันหลายวัน มีอาการเซื่องซึม หายใจดังครืดคราด และมีไข้สูง อาจมีการติดเชื้อไวรัสเช่น ไข้หวัดใหญ่ แบคทีเรียที่รุนแรงหรือมีภูมิแพ้ร่วมด้วย คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์นะคะ
ตาแดง โรคตาแดงอาจมีสาเหตุได้ทั้งภูมิแพ้หรือการติดเชื้อ ซึ่งมีทั้งไวรัสหรือแบคทีเรียหลายชนิด และสามารถเกิดขึ้นกับเด็กๆ ได้บ่อย เพราะเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคตาแดงนี้ มักเกิดจากการสัมผัส หรือการใช้ของร่วมกัน โดยเด็กๆ จะมีอาการตาแดง เคืองตา ตาขาวจะมีสีแดงเรื่อๆ มีน้ำตาไหล เจ็บตา และมักมีขี้ตาร่วมด้วย โดยอาจเป็นเมือกใสหรือสีเหลืองอ่อน
**ถ้าเด็กๆ เป็นตาแดงก็ต้องห้ามออกนอกบ้านค่ะ เพราะเด็กๆ มีโอกาสที่จะแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ง่ายขึ้น
เมื่อลูกเป็นแล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องพาลูกไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องตามสาเหตุ เพราะหากช้าเกินไป อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้ ถ้าแพทย์พิจารณาแล้วเห็นควรให้ยาปฏิชีวนะ โดยทั่วไปหลังได้ยาปฏิชีวนะแล้ว 24 ชั่วโมงหรือถ้าไม่มีขี้ตาแล้ว โอกาสแพร่เชื้อก็จะลดลงค่ะ
อาเจียน ถ้าใน 1 วัน ลูกอาเจียนเพียงแค่ครั้งเดียว ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงถึงขั้นติดเชื้อหรือไม่สบายได้ เพราะลูกอาจเป็นแค่หวัดเล็กน้อย หรือเมารถ เมาเรือก็ได้ค่ะ
**แต่เมื่อใดก็ตามที่ลูกอาเจียนมากกว่า 1 ครั้ง อาจมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น เช่น มีการติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร ซึ่งในกรณีเช่นนี้ ลูกอาจเสี่ยงกับภาวะขาดน้ำได้ ดังนั้นให้คุณพ่อคุณแม่คอยสังเกตว่าลูกเพลียมากหรือไม่ ปัสสาวะเป็นปกติหรือไม่ น้อยเกินไปหรือเปล่า หรือมีปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้มผิดปกติ ขณะเดียวกันเวลาที่เขาร้องไห้ให้สังเกตว่ามีน้ำตาออกมาด้วยหรือไม่ เพราะถ้าไม่มีน้ำตาเวลาร้องไห้ อาจแสดงถึงการที่เจ้าตัวเล็กเสี่ยงที่จะมีภาวะร่างกายขาดน้ำได้
ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลลูกอย่าให้ขาดน้ำ ควรให้ลูกดื่มน้ำ หรือป้อนน้ำเกลือแร่ บ่อยๆ ซึ่งถ้าอาการไม่หนักมาก ให้ลูกพักผ่อนอยู่บ้าน อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1-2 วัน
ท้องร่วง เป็นอาการที่เด็กๆ ถ่ายอุจจาระเหลว ซึ่งถ้าเป็นเพียงแค่ 2-3 ครั้ง ใน 1 วัน และเด็กไม่ซึม ไม่มีอาเจียน คุณพ่อคุณแม่สามารถรักษาโดยการชงผงน้ำตาลเกลือแร่ให้เจ้าตัวเล็กดื่มได้ค่ะ
**ถ้าลูกมีการถ่ายเหลวมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน อาจทำให้ร่างกายของลูกเกิดการขาดน้ำได้ ยิ่งถ้ามีเลือดปนออกมาด้วย แม้เพียง 1 ครั้ง หรือมีไข้ร่วมกับอาการท้องร่วง ต้องรีบพาไปพบแพทย์ทันที เพราะลูกอาจติดเชื้อแบคทีเรีย ที่รุนแรงได้
เจ็บคอ ถ้าเด็กๆ เจ็บคอพร้อมกับมีน้ำมูกไหลแต่ไม่มีไข้ อาจเป็นแค่หวัดธรรมดา ให้ลูกกินยาแล้วนอนพักรักษาตัว 1-2 วันก็หายค่ะ
**แต่ถ้าลูกเจ็บจนไม่ยอมกินนมกินข้าว รวมทั้งมีไข้หรือเนื้อตัวหนาวสั่น ครั่นเนื้อครั่นตัว สันนิษฐานได้เลยว่าลูกอาจมีการติดเชื้อ หรือมีการอักเสบในช่องคอ ซึ่งก็ต้องให้แพทย์ตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง ส่วนเด็กที่อายุ 3 ปีขึ้นไป อาจต้องระวังการติดเชื้อแบคทีเรียที่สำคัญได้แก่ สเตรปโตคอคคัส ซึ่งต้องได้รับยาปฏิชีวนะที่ถูกต้อง ในระยะเวลาที่เหมาะสม
ปวดท้องเฉียบพลัน หากไม่มีการอาเจียน ท้องเสีย หรือเป็นไข้ร่วม และเด็กไม่ซึม วิ่งเล่นได้ กินได้ตามปกติ ก็สามารถดูแลรักษาลูกโดยการให้กินยาตามอาการ เช่น ยาลดกรด ยาขับลม ยาแก้ปวดหรือพาราเซตามอลได้ (สำหรับเด็กเล็กควรอ่านฉลากให้ละเอียด) เนื่องจากอาการเหล่านี้มักไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองภายใน 24 ชั่วโมง
**ถ้าลูกมีอาการปวดท้องรุนแรง หรือมีอาเจียน มีไข้สูง ซึม ไม่ทาน หรือมีอาการท้องแข็งร่วมด้วย ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อรักษาโดยด่วน เนื่องจากอาจมีสาเหตุจากไส้ติ่งอักเสบ หรือลำไส้อุดตันได้ ซึ่งค่อนข้างอันตราย หรือถ้าลูกปวดท้องแบบเป็นๆ หายๆ ก็ควรให้แพทย์ตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาต่อไป
เด็กๆ มีโอกาสป่วยได้ง่าย แม้ว่าจะดูแลป้องกันอย่างดีแล้วก็ตาม เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้ทันโรค เราก็สามารถรักษาได้ทันและถูกต้องตามอาการค่ะ