คุณพ่อคุณแม่เคยสังเกตพฤติกรรมของลูกไหมคะ เด็กบางคนชอบมีอาการชอบขยิบตาบ่อยๆ ย่นจมูก กระตุกมุมปาก ขยับหน้า ยักไหล่หรือศีรษะ หรือกระแอมไอซ้ำ ๆ ตลอดเวลา เราพูดแล้วก็ไม่หยุดทำ จนติดเป็นนิสัย พฤติกรรมเหล่านี้เกิดจากอะไร บทบาทต้องเตรียมรับมืออย่างไรบ้าง เรามีข้อมูลมาฝาก
อาการมักเริ่มจาก Motor tics จากกล้ามเนื้อมัดเล็กเช่น กระพริบตา ย่นจมูก กระตุกมุมปาก ไปมัดใหญ่ เช่นยักไหล่ สะบัดคอ และเกิด Vocal tics ขึ้นตามมา ซึ่งอาจเป็นเพียงเสียงกระแอม หากลูกมีอาการเหล่านี้ แสดงว่าลูกของคุณกำลังเป็นโรคทูเร็ตต์ Tourette’s disorder
โรคทูเร็ตต์ (Tourette’s disorder) คือ โรคที่เกิดจากการที่สมองสั่งการให้เกิดการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ (Motor tics) โดยไม่ได้ตั้งใจ หรือ อาจมีการเปล่งเสียงขึ้น ( Vocal Tics) จากลำคอหรือจมูก โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ
อาการเริ่มจาก Motor tics จากกล้ามเนื้อมัดเล็กเช่น กระพริบตา ย่นจมูก กระตุกมุมปาก ไปมัดใหญ่ เช่น ยักไหล่ สะบัดคอ และเกิด Vocal tics ขึ้นตามมา ซึ่งอาจเป็นเพียงเสียงกระแอม ลักษณะสำคัญของโรคคือ
ผู้ป่วยไม่ได้ตั้งใจทำให้เกิดอาการเอง แต่บางครั้งจะสามารถกลั้นหรือห้ามการเคลื่อนไหวได้ชั่วคราว
ขณะเกิดอาการต้องมีสติรู้ตัวดี (ไม่เหมือนอาการชักซึ่งจะไม่มีสติ) ผู้ป่วยจะมาความรู้สึกและบอกได้ว่ากำลังจะเกิดอาการ โดยบางคนอาจบอกว่าคัน หรือตึงๆ หรือปวด บริเวณที่กำลังจะเกิดอาการ
อาการเกิดขึ้นซ้ำๆ วันละหลายๆ ครั้ง เกือบทุกวัน เป็นเรื้อรังนานกว่า 1 ปี แต่อาการอาจเป็นๆหายๆ เป็นช่วง บางครั้งเว้นระยะห่างออกไปแต่ไม่นานเกิน 3 เดือน ก็จะกลับมามีอาการใหม่
อาการอาจเป็นหนักมากขึ้นถ้ากลั้นเป็นเวลานาน ถูกทัก ดุว่า หรือห้ามไม่ให้ทำ หรือมีความเครียดความกังวลไม่ว่าทางร่ายกายหรือจิตใจ อาการจะเป็นน้อยลงเมื่อผ่อนคลาย และแทบจะไม่มีอาการเลยขณะนอนหลับ
ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่ปัจจุบันเชื่อว่าเป็นความบกพร่องในการทำงานของสมองอย่างหนึ่งที่มีสาเหตุเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกันดังนี้
พาลูกไปพบกุมารแพทย์หรือจิตแพทย์เด็ก เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม ว่าเป็นโรคนี้จริงหรือไม่
ถ้ามีอาการเล็กน้อย หรือ เป็นมาไม่นาน แพทย์อาจรอดูอาการไปก่อน เพราะอาจเป็นเพียงชั่วคราวและหายเองได้
คุณพ่อคุณแม่และครอบครัว ควรเห็นใจและเข้าใจว่าอาการเกิดจากความบกพร่องในการทำงานของสมองบางส่วน ผู้ป่วยไม่ได้ตั้งใจหรือแกล้งทำ และไม่สามารถควบคุมอาการได้ และอาการจะเป็นมากขึ้นเมื่อมีภาวะเครียด ดังนั้น พ่อแม่และบุคคลอื่นๆ เช่น ญาติ เพื่อนหรือครูที่โรงเรียน ไม่ควรพูดทัก ห้ามปราบ หรือเพ่งเล็งที่อาการแต่ควรมองหาและแก้ไขภาวะเครียดที่เป็นสาเหตุ
ถ้าอาการเป็นมาก เป็นเรื้อรัง หรือส่งผลเสียรบกวนการดำเนินชีวิต เช่น การเรียน การเข้าสังคม แพทย์จะพิจารณารักษาด้วยยา ซึ่งอาจมีผลข้างเคียง และใช้เวลาในการรักษาพอสมควร
การรักษาด้วยพฤติกรรมบำบัด ที่เรียกว่า habit reversal training โดยสอนให้ผู้ป่วยรู้ทันอาการขณะเกิด tic (awareness) และฝึกควบคุมอาการด้วยการผ่อนคลาย (relaxation) และทำพฤติกรรมที่ไปด้านการเป็น tic เช่น ถ้ามีอาการคือกระพริบตาถี่ๆ ก็ให้รู้ทันอาการผ่อนคลาย แล้วทอดสายตาไปไกลๆ เพื่อให้ผ่อนคลาย เป็นต้น
การช่วยเหลือด้านจิตใจ ลดภาวะเครียด และส่งเสริมให้เด็กรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ช่วยเหลือให้มีการปรับตัว และแก้ปัญหาในทางที่เหมาะสม เช่น เมื่อถูกเพื่อนล้อเลียน สนับสนุนให้ได้เรียนในโรงเรียนตามความสามารถของเด็ก โดยไม่ต้องกังวลกับอาการมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคนี้จำเป็นต้องได้รับกำลังใจและความเข้าใจจากคนรอบข้างเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็กที่อาจโดนเพื่อน ๆ ล้อเลียน หรือโดนเพื่อน ๆ แกล้ง เคสนี้ผู้ปกครองควรสอนวิธีรับมือ หรือทางที่ดีควรแจ้งให้ทางโรงเรียนทราบถึงโรคที่เขาเป็น หรือหากผู้ป่วยยังเป็นเด็กวัยกำลังเรียนรู้ ผู้ปกครองควรรีบสังเกตอาการผิดปกติของเขา และพาไปพบแพทย์เพื่อหาแนวทางบำบัดรักษา นอกจากนี้ก็ควรให้เขาได้ออกสังคมบ่อย ๆ เพื่อให้เขาปรับตัวอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ ได้อย่างปกติ
ที่มา :