ปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อมและความก้าวหน้าของ AI ที่พัฒนาไปอย่างคาดไม่ถึง สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อวิธีการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ยุคใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เด็กควรมีส่วนร่วมในงานบ้าน เช่น กวาดบ้าน ล้างจาน และดูแลของใช้ส่วนตัว ควบคู่กับความรับผิดชอบด้านการเรียนรู้ เพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่าชีวิตต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบ
เด็กควรมีโอกาสเผชิญปัญหาและเรียนรู้วิธีแก้ไขด้วยตัวเอง ไม่ใช่พึ่งพาพ่อแม่ทุกเรื่อง การเรียนรู้ที่จะเอาชนะอุปสรรคเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญมากกว่าการเรียนเก่งเพียงอย่างเดียว
เด็กจะเรียนรู้จากการกระทำของพ่อแม่มากกว่าคำพูด เพราะพ่อแม่เปรียบเหมือนกระจกสะท้อนลูก พ่อแม่เป็นแบบไหนลูกก็จะซึมซับพฤติกรรมนั้น ๆ หากต้องการให้ลูกมีวินัยและจิตสำนึกที่ดี พ่อแม่ต้องก็ต้องทำให้ลูกเห็นอย่างสม่ำเสมอ
การให้กำลังใจลูกสำคัญพอ ๆ กับการสอน พ่อแม่ควรชื่นชมลูกทั้งในบ้านและนอกบ้านอย่างจริงใจ ไม่ใช่แค่สร้างภาพต่อหน้าคนอื่น แต่ต้องให้ความรักและการยอมรับจากใจจริง
เด็กที่ถูกปกป้องมากเกินไปจะขาดความอดทนและทักษะการปรับตัว พ่อแม่ควรให้ลูกได้เรียนรู้จากความผิดหวังและความล้มเหลว เพื่อให้พวกเขาเติบโตเป็นคนที่มีความเข้มแข็ง
พ่อแม่ควรสอนให้ลูกรู้จักแบ่งปันและช่วยเหลือสังคม เช่น การเป็นจิตอาสา การแบ่งอาหารให้เพื่อนบ้าน หรือการช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน
การเล่นไม่ใช่แค่เรื่องสนุก แต่เป็นโอกาสที่พ่อแม่จะได้สอนลูกเรื่องการควบคุมอารมณ์ การแบ่งปัน และการเข้าใจผู้อื่น เด็กต้องเรียนรู้วิธีจัดการอารมณ์และความขัดแย้งอย่างเหมาะสม พ่อแม่ควรช่วยให้ลูกเข้าใจว่าอะไรที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและผู้อื่น พร้อมสอนวิธีแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และควรให้ลูกเล่นอย่างอิสระและเรียนรู้จากประสบการณ์จริง มากกว่าการพึ่งพากิจกรรมแบบสำเร็จรูปจากคอร์สเรียนต่าง ๆ
เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม้แต่ฝาแฝดก็ไม่เหมือนกัน ยิ่งเปรียบเทียบ ยิ่งบาดเจ็บ เช่นการเปรียบเทียบลูกกับพี่น้องว่าทำไมไม่ฉลาดเหมือนพี่บ้าง ยิ่งเป็นการสร้างบาดแผลให้ลูก แต่ถ้าพ่อแม่ให้อิสระต่อลูกเร็ว ก็ยิ่งมีภูมิคุ้มกันเร็ว
พ่อแม่ยุค AI ต้องปรับตัวให้ทันโลก ไม่ใช่เพียงให้ลูกเก่งด้านเทคโนโลยี แต่ต้องสอนให้พวกเขามีทักษะชีวิต ความอดทน และความเมตตา เพื่อให้สามารถอยู่รอดและเติบโตในโลกที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน