เด็กมีอาการ 'ไอ' ได้หลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบมีสาเหตุที่แตกต่างกันไป โดยคุณพ่อคุณแม่ต้องพร้อมเรียนรู้วิธีสังเกตและการรักษา เพื่อสุขภาพของลูกรักนะคะ
อาการไอเกิดจากอะไร?
ไอเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในทางเดินหายใจ อาจจะเป็นฝุ่นละอองหรือเสมหะที่เกิดจากไข้หวัด หลอดลมอักเสบหรือปอดอักเสบ ร่างกายจะกำจัดสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ โดยการไอออกมา สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่่ทำให้ไอเรื้อรังคือ การมีเสมหะคั่งค้างในหลอดลม
1.ไอแห้ง ไอแบบไม่มีเสมหะ เกิดขึ้นเมื่อร่างกายเย็นหรือมีอาการแพ้ เพื่อช่วยเคลียร์น้ำมูกที่สะสมในคอหรือการระคายเคืองจากการเจ็บคอ
2.ไอเปียก ไอมีเสมหะ ซึ่งเป็นผลมาจากการติดเชื้อบริเวณหลอดลม ทำให้มีเสมหะ (ซึ่งประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค) ออกมารวมตัวกันที่ทางเดินหายใจ
วิธีการสังเกตอาการไอแต่ละแบบที่พ่อแม่ควรรู้ หากทำความเข้าใจการไอแต่ละแบบ อาจช่วยให้คุณพ่อคุณแม่รับมือและดูแลลูกน้อยได้ดีขึ้นก่อนจะพาเด็กไปพบแพทย์ ซึ่งอาจพบอาการไอในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
1.ไอเพราะไข้หวัดทั่วไป หรือไข้หวัดใหญ่
อาการไอ: ไอแห้ง
สัญญาณร่วม: คัดจมูก น้ำมูกไหล ระคายคอ เจ็บคอ
และอาจมีอาการ: น้ำมูกไหลต่อเนื่อง มีไข้ต่ำๆ กลางดึก
การรักษาเบื้องต้น: ในกรณีที่เด็กอายุต่ำกว่าหกเดือน สถาบันกุมารเวชศาสตร์อเมริกาแนะนำว่านอกจากนมแม่แล้ว แม่ไม่ควรให้ลูกกินอย่างอื่นเพื่อบรรเทาอาการไอทั้งสิ้น แต่สำหรับเด็กอายุหนึ่งขวบขึ้นไป น้ำผึ้งบริสุทธิ์ น้ำเกลือ ก็อาจจะช่วยให้เด็กไอน้อยลงได้
2.ไอเพราะหายใจลำบาก
เด็กๆ อาจตื่นขึ้นมาไอค่อกแค่กกลางดึก การไอเช่นนี้ในเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบมักมาพร้อมกับอาการไข้หวัด
อาการไอ: ไอแห้ง
สัญญาณร่วม: ได้ยินเสียงติดๆ ขัดๆ ขณะที่ลูกหายใจเข้า
การรักษาเบื้องต้น: เปิดฝักบัวทิ้งไว้ให้เกิดไอน้ำในห้องน้ำ แล้วลองให้ลูกหายใจในห้องที่มีไอน้ำ หรือหายใจในห้องที่มีเครื่องทำความชื้น อาการหายใจลำบากของเด็กควรหายไปภายใน 3-4 วัน ถ้านานเกินกว่านั้น ต้องรีบพาเด็กๆ ไปพบแพทย์แล้วล่ะ
3.ไอเพราะโรคปอดบวม
อาการไอ: ไอเปียก มีเสมหะ
สัญญาณร่วม: เด็กมีอาการไอต่อเนื่องจนหน้าซีดและเหนื่อยหอบ
การรักษาเบื้องต้น: รีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุด
4.ไอเพราะโรคหอบหืด หรือหลอดลมอักเสบ
โดยทั่วไปแพทย์มีความเห็นพ้องกันว่าเด็กอายุต่ำกว่าสองปีไม่ควรเป็นโรคหอบหืด เว้นเสียแต่ว่าครอบครัวมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้หรือโรคหอบหืดมาก่อน ส่วนโรคหลอดลมอักเสบในเด็กอายุต่ำกว่าหนึ่งปีมักมาจากไวรัส RSV ซึ่งถ้าเกิดในเด็กอายุมากกว่าสามปีมันจะเป็นไข้หวัดธรรมดา แต่ในเด็กทารกก็อาจรุนแรงถึงชีวิตได้
โรคหอบหืดในทารกอาจเริ่มจากการมีอาการหวัด ระคายเคืองตา หรือน้ำตาไหล และยังอาจจะมีอาการหอบจนหน้าอกยุบและโป่งจากการหายใจเข้าออกแต่ละครั้ง ส่วนโรคหลอดลมอักเสบที่มักพบในหน้าหนาวมักมาพร้อมกับอาการมีไข้ต่ำและเบื่ออาหาร
อาการไอ: ไอร่วมกับเสียงหายใจดังฟืดฟาด
การรักษาเบื้องต้น: สังเกตอัตราการหายใจของลูก หากถี่กว่า 50 ครั้ง/นาที ให้รีบพาไปโรงพยาบาลได้เลย
5.ไอเพราะโรคไอกรน
โรคไอกรนเคยเป็นโรคที่ทำให้ทารกเสียชีวิตได้ จนกระทั่งวัคซีน DTP ถูกนำมาใช้ โรคนี้ก็ค่อยๆ ถูกกำจัดออกไป ทว่าเมื่อไม่กี่ปีมานี้ โรคไอกรนก็กลับมาและรุนแรงกว่าเดิม
อาการไอ: ไอเสียงดังและไอติดต่อกัน
สัญญาณร่วม: บ่อยครั้งที่อาการไอนี้จะมาพร้อมกับตาเหลือก หน้าซีด หรือไอจนลิ้นออกมานอกปาก
การรักษาเบื้องต้น: โรคนี้ป้องกันง่ายกว่าด้วยการให้ทารกได้รับวัคซีนป้องกันตามที่แพทย์แนะนำ แต่ถ้าไม่ทัน และคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าลูกมีโอกาสจะเป็นโรคไอกรนก็ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที
6.ไอเพราะสิ่งแปลกปลอม
สาเหตุของการไอและสำลักในเด็ก ที่พบบ่อยที่สุดก็คืออาหารหรือของเล่นชิ้นเล็กๆ นี่แหละ เพราะฉะนั้นถ้าลูกอ้าปากค้างหรือไอขณะกินอาหาร หรือเล่นของเล่น คุณแม่ต้องรีบมองหาตัวการในปากของลูกก่อนเป็นอันดับแรก
อาการไอ: ไอเบาๆ แต่ไอไม่หยุด หรืออ้าปากค้าง
สัญญาณร่วม: เมื่อลูกเริ่มไอ และไอติดต่อกัน จนหายใจลำบากโดยไม่มีทีท่าว่าจะป่วยไข้มาก่อน เป็นไปได้ว่าอาจมีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ในหลอดลม
การรักษาเบื้องต้น: ให้ใช้วิธี ‘ตบหลัง 5 ครั้ง สลับกับกระแทกหน้าอก 5 ครั้ง’ (Five Back Blow and Five Chest Thrust)
1.ใช้เครื่องทำความชื้นภายในห้องในตอนกลางคืน เพื่อเพิ่มความชื้นในอากาศ หรืออาจให้ลูกนั่งอยู่ในห้องน้ำที่เปิดน้ำอุ่นประมาณ 2-3 นาที
2.หากลูกมีอายุมากกว่า 1 ปี ให้เด็กรับประทานน้ำผึ้งปริมาณ 1 ช้อนชาเพื่อบรรเทาอาการ
3.ใช้สารเมนทอลทาบริเวณหน้าอกของลูกน้อย เพื่อให้เด็กหายใจได้สะดวกขึ้น โดยควรเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กและทารกโดยเฉพาะ
4.ไม่ใช้ยารักษาโรคไข้หวัดในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 4 ปี เพราะอาจทำให้เสมหะเหนียวข้นและเป็นอันตรายต่อเด็กได้
1.เด็กไอโดยมีอายุต่ำกว่า 4 เดือน
2.ไอแบบแห้ง ๆ โดยมีสาเหตุมาจากไข้หวัดติดต่อกันนานกว่า 5-7 วัน
3.ไอและมีไข้สูง
4.ไอเป็นเลือด
5.ป่วยและอ่อนล้าอย่างมาก
6.มีวัตถุแปลกปลอมติดอยู่ในช่องคอ
7.รู้สึกเจ็บหน้าอกเมื่อสูดหายใจเข้าลึก ๆ
8.หายใจมีเสียงหวีด และหายใจหรือพูดลำบาก
9.น้ำลายไหลหรือกลืนอาหารลำบาก
ที่มา : www.parents.com, www.pobpad.com