โรคภูมิแพ้สามารถเป็นได้ตั้งแต่แรกเกิด แต่สำหรับโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้โดยเฉลี่ยแล้วเด็กวัย 3 ปีขึ้นไปมีแนวโน้มเสี่ยงเป็นมากถึง 40 – 50% เป็นโรคที่เกิดจากกรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีประวัติเป็นภูมิแพ้ เช่น ถ้าแม่เป็นภูมิแพ้ลูกมีโอกาสเสี่ยงประมาณ 50% ถ้าพ่อเป็นภูมิแพ้ ลูกก็มีความเสี่ยงประมาณ 20-30% แต่ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นภูมิแพ้ทั้งคู่ ก็มีโอกาสที่ลูกจะเป็นภูมิแพ้ได้ถึง 70 - 80%
ข้อสังเกต
1. จามและมีน้ำมูกมากทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยน หายใจครืดคราดช่วงกลางคืนที่อากาศเย็นๆ หรือช่วงอากาศเปลี่ยน ให้รีบพาลูกไปหาหมอเพื่อตรวจว่าลูกเข้าข่ายเป็นจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือไม่ เพราะหากปล่อยให้เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ อาการหายใจดังตอนกลางคืนที่มากขึ้น อาจกระตุ้นให้ต่อมอะดีนอยด์และต่อมทอนซิลโตได้
2.หยุดหายใจเป็นช่วงๆ ขณะนอนหลับ หรือหายใจติดขัด จนต้องหายใจทางปากต่อเนื่องนานๆ ให้สันนิษฐานเบื้องต้นถึงโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ และรีบพาไปพบคุณหมอค่ะ เพราะอาการเหล่านี้อาจทำให้มีปัญหาเรื่องการนอนหลับและระบบการเคี้ยวกลืน ส่งผลให้ลูกมีสมาธิสั้น รูปหน้าเปลี่ยน และส่งผลต่อพัฒนาการการเติบโตในระยะยาวได้
วิธีป้องกัน
เมื่อหมอวินิจฉัยว่าลูกเป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ การรักษาด้วยยาจะเป็นวิธีสุดท้าย แต่หมอจะแนะนำให้ดูแลตัวเองด้วยการหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ทำให้แพ้ ดังนี้
1.เลี่ยงจากอุปกรณ์ หรือสถานที่ที่มีฝุ่นมาก ภายในบ้านหรือในสถานที่เลี้ยงเด็กจะต้องให้มีฝุ่นน้อยที่สุด เลี่ยงการใช้พรมเช็ดเท้า เล่นตุ๊กตาที่มีขนเยอะๆ การใช้แป้งฝุ่น รวมทั้งเสื้อผ้าที่สวมใส่ควรเลี่ยงที่เป็นขนสัตว์ หรือผ้าที่ทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย
2.ไม่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่มีขน สำหรับบ้านที่เลี้ยงสุนัขและแมว คุณแม่ควรเลี่ยงไม่ให้ลูกเข้าใกล้หรือคลุกคลีกับสัตว์เหล่านี้มากเกินไป แต่ถ้าลูกมีอาการแพ้มากๆ คุณแม่ควรงดเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้านไปก่อน
3.กินอาหารดี ปลอดภูมิแพ้ การดูแลร่างกายให้แข็งเรงอยู่เสมอ ช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคได้ดีค่ะ หากเป็นลูกในวัยเรียน คุณแม่ควรเลี่ยงให้ลูกกินอาหารจั๊งฟู้ด น้ำอัดลม อาหารสำเร็จรูปที่มีปริมาณโซเดียม และน้ำตาลมากๆ ที่สำคัญควรเพิ่มปริมาณผักและผลไม้ในเมนูอาหารของลูกให้มากขึ้นด้วย
4.กระตุ้นให้ลูกออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คุณแม่ควรเลี่ยงให้ลูกดูทีวี เล่นไอแพด และสมาร์ทโฟนนะคะ แต่ควรชวนลูกออกกำลังกาย และเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ เช่น เล่นกีฬาที่ลูกชอบ การวิ่ง หรือทำกิจกรรมนอกบ้านกับคุณพ่อคุณแม่ นอกจากจะช่วยต่อสู้กับภูมิแพ้ได้แล้ว ยังช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ให้แข็งแรง และการได้ใกล้ชิดกับคุณพ่อคุณแม่ยังเป็นภูมิคุ้มกันทางใจได้ดีอีกด้วย
5.เลือกใช้ผลิตภัณฑ์อ่อนโยนต่อผิวแพ้ง่าย หากลูกมีอาการผื่นแพ้ร่วมด้วย คุณแม่ควรเลือกสบู่ แชมพู หรือผลิตภัณฑ์ซักเสื้อผ้าของลูกให้เป็นสูตรอ่อนโยนสำหรับเด็กที่แพ้ง่ายโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการผื่นแพ้ของลูกกำเริบขึ้น
6.ไม่สูบบุหรี่ในบ้าน ควันบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เด็กแพ้ได้มากขึ้น ฉะนั้นควรเลี่ยงการสูบ บุหรี่ในบริเวณบ้านโดยเด็ดขาด
ความแตกต่างของจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ กับหวัดเรื้อรัง
หวัดเรื้อรัง จะมีอาการตลอดเวลา ถ้าสังเกตว่าลูกมีอาการจาม มีน้ำมูกไหล หรือคัดจมูกอยู่ตลอดเวลา ทั้งช่วงเช้า กลางวัน เย็น และกลางคืน แสดงว่าลูกอาจกำลังป่วยเป็นหวัดเรื้อรัง
จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ จะมีอาการกำเริบเป็นช่วงๆ เช่น จะมีอาการในช่วงกลางคืน หรือเมื่อต้องอยู่กับสภาพอากาศที่เย็น เช่น ฝนตก หรืออากาศหนาว แล้วลูกมีอาการจาม มีน้ำมูก คันตา คันจมูก หรือมีผื่นร่วมด้วย ซึ่งถือว่าเป็นอาการที่บ่งบอกถึงโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้