เวลาคุณคิดอะไรไม่ออก เคยเดินออกไปนอกห้องเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ หรือนั่งทอดอารมณ์อยู่บริเวณสวนต้นไม้ภายในบ้านไหมคะ หรือเวลาคุณหงุดหงิดงุ่นง่านใจ เพียงได้ออกไปไหนไกลๆ เห็นท้องทุ่งอันเขียวขจี หรือพื้นถนนทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา แค่นั้นความคิดอันบรรเจิดก็ค่อยๆโลดแล่นออกมาจากหัวสมองแล้ว
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นก็เพราะ ความกว้าง...ความโปร่งโล่ง นี่แหละค่ะที่ช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์ของเราผุดขึ้นได้โดยง่าย เด็กเล็กๆ ก็เหมือนกันค่ะ ถ้าเพียงเราปล่อยให้ลูกได้ออกไปวิ่งเล่นในสนามหญ้าหน้าบ้านอยู่เป็นประจำ หรือปล่อยให้เขาได้ไปเปิดหูเปิดตายังต่างจังหวัดท่ามกลางธรรมชาติที่สวยสด งดงาม บางทีเรื่องความคิดสร้างสรรค์ที่เราอยากปลูกฝังนักหนาก็อาจเกิดขึ้นในแบบ ง่ายๆ ที่แม้แต่เราเองยังคาดไม่ถึง
พื้นที่...สร้างความคิดสร้างสรรค์
จะว่าไปแล้ว เด็กที่อยู่ตามต่างจังหวัดจะมีโอกาสดีกว่าเด็กเมืองหลวงอย่างลูกของเรานะคะ เพราะเด็กต่างจังหวัดจะได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่า และธรรมชาตินี่ล่ะค่ะที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้มากมาย เช่น เด็กน้อยคนหนึ่งบ้านอยู่ใกล้น้ำตก ทุกวันหนูน้อยคนนี้จะไปเที่ยวเล่นที่น้ำตกเสมอ เวลาเดินไปก็ต้องผ่านทางเดินที่มีทั้งก้อนหินหลากหลาย มีแอ่งน้ำมากมาย
สิ่งที่เด็กน้อยคนนี้ได้เรียนรู้อย่างไม่รู้ตัวคือ การจะไปชมน้ำตกนั้นเด็กน้อยต้องใช้ทักษะในการกะระยะว่าก้อนหินก้อนไหนที่จะ ต้องก้าว ก้อนไหนจะต้องกระโดด ก้อนไหนพอจะมั่นคง เมื่อเหยียบแล้วจะไม่ลื่นไหลตกลงไปในแอ่งน้ำ หรือก้อนหินก้อนไหนมีรูปร่างแหลมคม ซึ่งอาจทิ่มเท้าทำให้เกิดบาดแผลได้ แค่ทักษะในการเดินผ่านก้อนหินเพื่อจะไปชมน้ำตก เด็กคนนั้นก็มีโอกาสใช้ทั้งกระบวนการคิด วิเคราะห์ วางแผน การตัดสินใจ และความคิดสร้างสรรค์ที่จะผจญภัยอย่างสนุกสนานและปลอดภัย
พื้นที่นอกห้องสี่เหลี่ยมของโรงเรียน และบ้าน จึงเป็นพื้นที่ที่ช่วยให้ลูกเกิดความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไม่ต้องลงมือลงแรงอะไร
ทำไงดี...ถ้าพื้นที่มีจำกัด
คุณครูกรองทอง บุญประคอง หรือครูก้า ให้เหตุผลต่อคำถามที่ว่า "ถ้าเกิดบ้านไหนเป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์ หรือบ้านไหนเป็นแค่เพียงคอนโดฯ หรือโรงเรียนไหนมีพื้นที่น้อย แล้วอย่างนี้เราจะจัดให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์กันขึ้นได้อย่างไร?"
ครูก้าอธิบายว่า เด็กคนไหนโชคดีได้มีโอกาสสัมผัสคลุกคลีกับโลกกว้างที่มีความสงบแต่หลากหลาย น่าเรียนรู้ของธรรมชาติ ย่อมเป็นโอกาสทองของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ เรียกว่าได้ทั้งบรรยากาศ โอกาส และอากาศแล้วยังมีสื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลายที่ไม่ต้องเสีย สตางค์ซื้อหาอีกด้วย
แต่บางคนอาจมีสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเอื้อให้เกิดความ คิดสร้างสรรค์สักเท่าไร ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสร้าง "โอกาส" ให้เด็กๆมีความคิดบรรเจิดไม่ได้ เพราะคุณพ่อ คุณแม่จัดโอกาสให้ลูกเข้าสู่โลกกว้างของธรรมชาติได้ด้วยการพาไปสวนสาธารณะ ไปสวนคุณลุงที่รู้จักหรือไปต่างจังหวัดในวันหยุดได้ แต่ข้อสำคัญเมื่อพาไปแล้วต้องให้โอกาสลูกๆได้คลุกคลีได้สัมผัสได้รู้จักกับ สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นจนเหมือนเป็นเพื่อนเล่นของเขาด้วย แล้วเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาใช้ในวันธรรมดาที่ต้องใช้ชีวิตในบ้านหลังเล็กๆ หรือคอนโดฯ
ถึงแม้ว่าพื้นที่ภายในจะคับแคบกว่าพื้นที่ในบ้านที่มีสวนสวยหรือโรงเรียน กว้างใหญ่ แต่อยากให้เราเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามีอยู่ เช่น ถ้าเราอยากทำกับข้าวกับลูกจะใส่อะไรดีถึงจะอร่อย น่ากินสีสันงดงาม เช่น ใส่แครอต ถั่วฝักยาว มะเขือเทศที่มีสีสันสดใสจะหั่นอย่างไร..สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมลูกเต๋า ทั้งหมดนี้ช่วยสร้างเสริมความคิดสร้างสรรค์บนพื้นที่อัน จำกัดให้ลูกได้ทั้งนั้น
เด็กได้เรียนรู้เรื่องอะไรบ้าง
ธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กๆ จะเป็นแบบบูรณาการคือได้หลายๆอย่างไปพร้อมๆกัน จากการที่ลูกได้เล่น ได้สัมผัส กรวด หิน ดิน ทราย ต้นไม้ สายน้ำ ผู้คนรอบข้างและสิ่งต่างๆรอบตัว อย่างไรก็ดีถ้าเราลองคิด วิเคราะห์สิ่งที่ลูกเรียนรู้ได้จะมี...
เพียง"พื้นที่ที่ดีๆ" ก็สามารถฝึกให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าโรงเรียนไหน หรือบ้านไหนมีพื้นที่อันจำกัด การเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามี และเปิด "โอกาส" ให้ลูกได้ฝึกคิด ฝึกใช้สมองซีกขวาดู แค่นี้เราก็จะได้ลูกช่างคิด ช่างประดิษฐ์ ช่างนำจินตนาการสร้างสรรค์มาอยู่ใกล้ๆ ตัวกันแล้วล่ะค่ะ