facebook  youtube  line

Mom’s Issue EP 05. ตอน “เนื้อหา บทเรียนที่ยากเกินไป ส่งผลอย่างไรต่อการเรียนรู้ของเด็กบ้าง”

 

นอกจากประเด็นเรื่องความยากง่ายของการบ้านมีสิ่งที่มากไปกว่านั้นคือ ระดับการเรียนรู้ที่เหมาะสมของเด็ก หากเด็กเรียนรู้สิ่งที่ยากเกินไปส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กอย่างไรบ้าง

รวมไปถึงหลากหลายประเด็นที่คาใจพ่อแม่ ทั้งการเรียนที่ยากและการบ้านที่ต้องทำ

 

ฟังมุมมองนักวิชาการด้านศึกษา ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้า

อาจารย์สาขาวิชาประถมศึกษา ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ติดตามรายการรักลูก podcast ได้ที่

Apple podcast : Rakluke Podcast

Spotify : Rakluke Podcast

YouTube Channel : Rakluke Club

กิจกรรมสำหรับเด็กวัย 1-3 ปี

4417 1

การเรียนรู้ของลูกวัย 1-2 ปีจะต่อเนื่องมาจากช่วงวัยขวบแรกที่เน้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว ดังนั้นลูกจะเรียนรู้เรื่องร่างกายของตัวเองเป็นหลัก ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 และการเคลื่อนไหว โดยจะไล่จากส่วนหัวไปถึงเท้า สามารถเชื่อมโยงระหว่างสัมผัสการเคลื่อนไหวให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้

เมื่อเข้าวัย 2-3 ปีจะเริ่มมีการพัฒนาด้านความคิด จินตนาการ เริ่มเรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องเห็นของเล่นหรือสัมผัส แค่คิดในใจก็สามารถเล่นได้ ดังนั้นการเล่นจะอยู่ในรูปแบบสมมติ หรือเห็นรูปภาพก็รู้ว่าภาพนั้นเป็นตัวแทนของของจริง รู้ว่ารูปแมวที่เห็นในหนังสือนิทานร้องอย่างไร สามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้สู่สัญลักษณ์ได้ สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ เข้าไปมีส่วนร่วมในการเรียนรู้พร้อมๆ กันกับลูก ก็จะช่วยให้ลูกอยากเรียนรู้โลกมากขึ้นด้วย

หนังสือของเด็กวัย 1-3 ปี

ประเภทหนังสือนิทาน : หนังสือนิทานภาพ หนังสือนิทานกึ่งของเล่น เช่น หนังสือผ้า หนังสือลอยน้ำ และหนังสือ Board Books หนังสือนิทานป็อปอัพ

หนังสือควรมีภาพขนาดใหญ่ มองเห็นชัดเจน สีสันสดใสและหลากหลาย ลายเส้นไม่สลับซับซ้อนจนเกินไป อาจจะเพิ่มเติมลักษณะลายเส้นให้มากกว่าตอนลูกเล็กได้ แต่อย่าเพิ่งเลือกเล่มที่ลายเส้นยุ่งเหยิงวุ่นวายจนดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร และที่สำคัญหากเป็นภาพที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน ควรเป็นภาพที่มีลักษณะคล้ายของจริงมากที่สุด เช่น นิ้วมือมี 5 นิ้ว

เนื้อเรื่องต้องสั้น เหตุการณ์ในนิทานไม่สลับซับซ้อนเกินไป สีสันสดใสและหลากหลาย ใช้ภาษาไทยถูกต้อง สั้น กระชับ เข้าใจง่าย และสุภาพ เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้คำและภาษาไทยที่ถูกต้อง รูปเล่มมีความแข็งแรงทนทานต่อการใช้งาน ไม่มีมุมแหลมคม ขนาดเล่มไม่หนาเกินไป ส่วนกระดาษที่ใช้ก็ไม่ควรบางและคมเกินไปเพราะวัยนี้เริ่มใช้มือเปิดหนา หนังสือเองได้แล้ว

เปิดโอกาสให้ลูกได้พูดคุย ซักถามเรื่องราวในนิทานบ้าง เพราะเขาอยู่ในวัยช่างคุย สนุก และมีความสุขที่จะได้พูด ชวนให้ลูกถาม-ตอบ สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในนิทาน และจะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ เพิ่มเติม อย่าลืมสร้างบรรยากาศการอ่านให้สนุกสนานและน่าสนใจ สร้างการจดจำที่ดีกับการอ่านให้หนังสือด้วย อย่าให้ทีวี เกม และคอมพิวเตอร์เร้าความสนใจของเด็กจนเกินพอดี เพราะเป็นการสื่อสารทางเดียวที่ไม่พัฒนาการเรียนรู้ของเด็กได้ บรรยากาศการอ่านที่เต็มไปด้วยความเครียดและความกดดันจากคุณพ่อคุณแม่ และหวังผลให้อ่านได้หลายๆ เล่ม จะทำให้ลูกไม่อยากอ่านหนังสือเพราะไม่มีความสุข หากในบ้านไม่มีหนังสือให้ลูกอ่านเลย มีแต่ของเล่นหรือคอมพิวเตอร์ ลูกก็จะหันไปหากิจกรรมอื่นแทนการอ่าน ทำให้ลูกไม่รักการอ่านในที่สุด


4417 2
ดนตรีกระตุ้นพัฒนาการเด็กวัย1-3 ปี

ดนตรีเป็นเครื่องมือให้ลูกเรียนรู้ทางประสาทสัมผัสมาเป็นการเรียนรู้แบบลงมือทำมากขึ้น และพัฒนาการด้านร่างกายก็พร้อมเกือบเต็มที่ สามารถควบคุมแข้งขา กระโดดโลดเต้นได้อย่างใจ สามารถจับจังหวะของดนตรี อีกทั้งเสียงเพลงยังสร้างความสนุกและสุนทรียภาพในจิตใจ เสียงเพลงจึงเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นพัฒนาการอย่างครบถ้วน

หาของเล่นที่มีเสียง เช่น ของเล่นประเภทเคาะ หรือแบบเขย่าแล้วมีเสียง เช่น กลองใบเล็ก ลูกแซค เลือกที่ไซส์เล็กขนาดเหมาะมือลูก วัยเริ่มหัดพูดควรสอดแทรกการร้องเพลงไปพร้อมๆ กับการหัดพูด ลูกจะสามารถจับจังหวะเพลง ฮัมเพลงตามจังหวะ ร้องเป็นคำคล้องจอง แถมท่าทีประกอบเพลงด้วยจะสนุกมากเลย อัดเทปเสียงร้องของลูกให้ลูกฟัง เขาจะรู้สึกตื่นเต้นกับเสียงที่ได้ยิน กระตุ้นให้อยากส่งเสียงร้อง ร้องเพลงที่มีเนื้อร้องประกอบกิจวัตรประจำวัน ทำให้เด็กสนุกมากขึ้น เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน ช่วงวัยนี้ลูกจะเริ่มเป็นตัวของตัวเอง เรียนรู้ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ซึ่งดนตรีกับการเคลื่อนไหวจะเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัว รู้จักฟัง และแสดงออกในจังหวะที่เหมาะสม เด็กก็จะมีการพัฒนาประสาทการรับรู้และการเคลื่อนไหวให้มีความสัมพันธ์และแม่นยำมากขึ้น

ของเล่นสำหรับเด็กวัย 1-3 ปี

การจะช่วยเสริมพัฒนาการของลูกน้อยนั้นไม่จำเป็นต้องไปซื้อของเล่นแพงๆ เพียงแค่เข้าใจพัฒนาการของลูกและร่วมเล่นกับลูกไปด้วยกัน เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเขาอย่างมีความสุขที่สุด

หนังสือนิทาน - หนังสือนิทานยังเป็นเครื่องมือชั้นยอดของการคิดสร้างสรรค์ เมื่อคุณพ่อคุณแม่อ่านให้ลูกฟังและให้เขาดูรูปตาม อาจจะตั้งคำถามปลายเปิดว่า ถ้าหนูเป็นหนูน้อยหมวกแดงจะเป็นยังไง หรือชี้ชวนให้ลูกดูรายละเอียดอื่นๆ ในภาพด้วย เช่น ดูแอบเปิ้ลว่ามีกี่ผล หมาป่าอยู่ตรงไหนนะ คุณควรจะใส่เอฟเฟคเสียงสูงต่ำ เพิ่มความน่าสนใจเข้าไปด้วย และควรมีหนังสือนิทานดีๆ ให้หลากหลายไว้ให้ลูกเลือกที่จะอยากฟังหรืออยากอ่านเอง แม้เป็นเรื่องซ้ำๆ ก็ไม่เป็นไร

จิ๊กซอว์ บล๊อกไม้ - ตัวต่อที่เหมาะสมตามวัยจะทำให้เจ้าหนูเกิดไอเดียต่อได้สารพัด และด้วยสีสันสดใสยิ่งทำให้เป็นจุดสนใจ ทั้งต่อยอดได้ตามจินตนาการ และแกะรื้อในเวลาเดียวกัน คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกจิ๊กซอว์ที่ไร้มุมคมแหลม ได้คุณภาพมาตรฐาน รวมทั้งอาจจะซื้อแบบที่มีจำนวนชิ้นมากหน่อยเพื่อการต่อยอดชิ้นงานขนาดใหญ่ ซึ่งจะดีกับลูกมากกว่าจิ๊กซอว์ที่มีตัวต่อแค่ 5-6 ชิ้น

ระบายสี - เตรียมกระดาษเปล่าขนาดใหญ่พร้อมกับสีเทียน ให้เจ้าตัวน้อยลงมือละเลงเล่นได้อย่างเต็มที่ในเนื้อกระดาษ แต่มีข้อห้ามอยู่ว่าอย่าใช้สมุดระบายสีที่มีกรอบรูปการ์ตูนเว้นช่องว่างให้ ระบายสี เพราะว่านั่นคือกรอบสกัดกั้นจินตนาการของลูกน้อย

ทรายและน้ำ - สร้างบ่อทรายเล็กๆ สักบ่อ พร้อมกับบล็อกพิมพ์ต่างๆ แบบตามชายหาด และน้ำสัก 1 ถัง ไอเดียการเล่นของเจ้าหนูจะพุ่งกระฉูดมากมาย เพราะทรายสามารถแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างอะไรก็ได้ ส่วนน้ำเป็นตัวช่วยให้ทรายยึดติดกัน ลูกจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์และข้อผิดพลาด

เล่นบทบาทสมมุติ - ลองชวนลูกมาเล่นละครสั้นๆ สนุกกัน หรือว่าจะเล่นเป็นนางเอก พระเอก พระราชา นางฟ้า ทหาร อาชีพต่างๆ อะไรก็ได้ที่ให้เจ้าหนูได้สวมบทบาทใดบทบาทหนึ่ง เพราะสมองของเขายังไม่ตั้งกฎกติกามากมาย การเล่นแบบนี้จะทำให้เขาคิดเป็นธรรมชาติ และได้ลองทำในสิ่งที่คิดดูจริงๆ ซึ่งจะสร้างประสบการณ์ให้เขาได้มากมาย

Painting Shadow - ออกไปกลางแจ้งตอนสายๆ หรือบ่ายๆ เอากระดาษมาวางบนพื้นแล้วให้ลูกวาดรูปเงาตัวเองที่พาดลงกระดาษ คุณพ่อคุณแม่ก็ทำด้วยจะได้เพิ่มความเข้าใจให้เจ้าหนู และลองเปลี่ยนอิริยาบถเป็นวาดเงาจากมือที่แปลงร่างเป็นผีเสื้อ หรือทำท่าทางตลกๆ แล้ววาดลงไปในกระดาษ เจ้าหนูจะเชื่อมโยงข้อเท็จจริงจากธรรมชาติ และความคิดสร้างสรรค์ด้วยในตัว

ลูกโป่งว่าว - ใช้ลูกโป่งเป่าลมพร้อมตัดกระดาษเป็นรูปผีเสื้อ เครื่องบิน หรือนก ผูกติดกับลูกโป่ง และผูกปลายเชือกเข้ากับข้อมือเจ้าหนูอีกที แล้วปล่อยให้เขาวิ่งเล่นที่สวนสาธารณะ เจ้าหนูจะพาเครื่องบินลำเก่งไปที่เมฆก้อนไหนก็ได้

แป้งโดว์ - หนูๆ จะปั้นเป็นอะไรก็ได้ เปิดไอเดียสร้างสรรค์ของลูกมากๆ นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กอีกด้วย สามารถตั้งแสดงเป็นผลงานโชว์ในบ้านได้อีกด้วย

ข้าวอบผัก เมนูเพิ่มพลังงานสำหรับเด็กวัยซน

 
 2981

เด็กวัย 1-3 ปีเป็นช่วงที่กำลังเคลื่อนไหวร่างกาย ชอบเล่น ชอบวิ่ง และใช้พลังงานในแต่ละวันเยอะมาก เพราะฉะนั้นอาหารของลูกจึงต้องเน้นเมนูที่ให้พลังงานกับลูก พร้อมกับฝึกให้เขากินผักด้วย

ซึ่งเมนูข้าวอบผักนี้ตอบโจทย์มากค่ะ เพราะนอกจากผักที่ใช้จะให้รสหวาน วิธีการปรุงยังช่วยให้กินง่ายอีกด้วย 

ส่วนผสม

ข้าวสาร 1 ถ้วย 

ข้าวโพดอ่อนหั่นขวาง 3-4 ยอด 

ข้าวโพดแกะเมล็ด 1/2 ถ้วย

ฝักถั่วลันเตาหั่น 1/2 ถ้วย 

แคร์รอตหั่นเต๋า 1/2 ถ้วย

ฟักทองหั่นเต๋า 1/2 ถ้วย 

กุ้งขาวแกะเปลือก ผ่าหลังเอาเส้นดำออก 3-4 ตัว 

ซอสถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ   

วิธีทำ 
  1. ล้างข้าวสารให้สะอาด หุงข้าวตามขั้นตอนปกติ แต่ให้ใส่ส่วนผสมที่เป็นผักทั้งหมดลงไปในหม้อ 
  2. เมื่อข้าวใกล้สุกให้เปิดฝาใส่กุ้งลงไป รอจนสุก เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

 

ชีสบอล คลิปทำอาหารเด็ก เมนูอาหารเด็ก

ชีสบอล, ชีสทอด, cheese ball, คลิปทำอาหารเด็ก, เมนูอาหารเด็ก, อาหารสำหรับเด็ก, เมนูเด็ก, อาหารเด็กอนุบาล, อาหารลูกวัยคิดส์, เมนูเด็กอนุบาล, ทำอาหารเด็ก, วิธีทำอาหารเด็ก, คลิปอาหาร, คลิปเมนูเด็ก, คลิปวิธีทำอาหารเด็ก, คลิปสอนทำอาหารเด็ก

เมนูชีสแคลเซียมสูงสำหรับลูกเล็กที่เพิ่งเริ่มหัดกกินชีส

ชีสบอลเมนูง่ายๆ ที่แม่ทำเองได้ที่บ้านในเวลาแค่ไม่กี่นาที ดูคลิปทำเมนูชีสบอล อาหารสำหรับเด็กได้ที่คลิปนี้เลย


 

 

 

ซุปมะกะโรนี

1605

ซุปมะกะโรนี เมนูสำหรับเด็กวัย 1-3 ปี

เด็กบางคนไม่ชอบทานข้าว คุณแม่ลองเปลี่ยนเส้นเป็นข้าวดูนะคะเด็กอาจชอบ โดยเฉพาะเมนูซุป น่าจะกินง่ายและดึงดูดความสนใจของเด็กน้อยหลายๆ คนได้ด้วย 

ส่วนผสม 

มะกะโรนีต้มสุก 1 ถ้วยตวง 

หอมหัวใหญ่หั่นเต๋า 1 ช้อนชา 

เห็ดฟางหั่นบางๆ 1 ช้อนชา 

แครอตต้มสุก 1 ช้อนชา

น้ำซุปผัก 1 ถ้วย 

ข้าวโพดอ่อนหั่นขวาง 1 ช้อนชา 

บล็อกโคลีลวกสุกหั่นเต๋า 1 ช้อนชา 

อกไก่ต้มสุกหั่นเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ

หมูเนื้อแดงสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ 

กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนชา

ซีอิ๊วขาว

เกลือป่น เล็กน้อย 

วิธีทำ 

หมักหมูเนื้อแดงสับละเอียดด้วยซีอิ๊วขาว 15 นาที  ต้มน้ำซุปผักให้เดือด ปั้นหมูเนื้อแดงที่ปรุงรสไว้แล้วลงต้ม เมื่อหมูสุกจะลอยขึ้นมา ใส่มะกะโรนีต้มสุก อกไก่ต้มสุก และผักต่างๆ ตามลงไป ปรุงรสด้วยเกลือป่น ยกลงจากเตาเตรียมเสิร์ฟ 

 

Tip  การต้มมะกะโรนีต้องต้มในน้ำเดือดจะทำให้เส้นสุกนุ่ม ไม่เปื่อยยุ่ย คอยคนตลอดไม่ให้ติดก้นหม้อ เมื่อสุกแล้วให้ตักขึ้นแช่น้ำเย็นทันที จากนั้นตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำแล้วคลุกเคล้าด้วยน้ำมันพืช

 

ซุปสาหร่ายเต้าหู้ (ไข่)

2271
 

 

นอกจากเต้าหู้ไข่แล้ว สาหร่ายทะเลก็เป็นอาหารอีกประเภทที่เด็กๆ ชื่นชอบกัน และเมื่อนำส่วนผสมทั้งสองอย่างมาทำเมนูอาหาร ความอร่อยจึงบังเกิด 

ส่วนผสมซุปสาหร่ายเต้าหู้ไข่

สาหร่ายวากาเมะแช่น้ำ ครึ่งถ้วย 

เต้าหู้ไข่หั่นเต๋า ครึ่งหลอด 

เห็ดเข็มทองตามชอบ

โชยุ 1 ช้อนโต๊ะ 

วิธีทำซุปสาหร่ายเต้าหู้ไข่

 


เส้นหมี่ราดหน้า, เส้นหมี่ราดหน้าเต้าหู้ไข่, เมนูเต้าหู้ไข่, อาหารเด็ก, อาหารเส้น, สูตรอาหารเด็ก, ลูกเบื่อข้าว

1 เตรียมส่วนผสมให้พร้อม

2-3 ต้มสาหร่ายและเห็ดเข็มทองจนใกล้สุก

4-5 ใส่โชยุลงไป ตามด้วยเต้าหู้ไข่ 

6 ต้มต่อประมาณ 30 วินาที จากนั้นซุปสาหร่ายเต้าหู้ไข่ตักใส่ชามกินตอนอุ่นๆ ร้อนๆ เป็นซุปใสรองท้องหรือจะกินพร้อมข้าวสวยและอาหารอื่นๆ ก็อิ่มอร่อยได้เหมือนกัน 

ซุปใสไก่ฉีก เมนูป้องกันหวัดสำหรับเด็ก

2858
 

ซุปใสไก่ฉีก เมนูป้องกันหวัด สำหรับเด็ก   

ช่วงที่อากาศเปลี่ยน เด็กๆ มีแนวโน้มจะป่วยกันเยอะเลย นอกจากดูแลลูกให้ห่างไกลหวัดแล้ว อาหารการกินก็ช่วยต้านหวัดได้ด้วยค่ะ อย่างเมนูที่เราเลือกมาในวันนี้ ส่วนผสมหลักคือหอมหัวใหญ่ แคร์รอต และเนื้อไก่ ซึ่งล้วนแล้วแต่ช่วยต้านหวัดได้เป็นอย่างดี 

หอมหัวใหญ่ มีคุณสมบัติแก้หวัด คัดจมูก ช่วยลดน้ำมูก แถมยังมีวิตามินซี วิตามินบี มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ที่ช่วยป้องกันหวัด มีสารอัลลิลิกไดซัลไฟด์ช่วยขับเสมหะ มีแมกนีเซียมที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย และต้านเชื้อไวรัสได้  

แคร์รอต มีเบตาแคโรทีนสูง มีวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก แคร์รอตมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคและช่วยให้ร่างกายแข็งแรงยิ่งขึ้น

ขึ้นฉ่าย มีวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินบี วิตามินเอ มีเบตาแคโรทีน ซึ่งช่วยสร้างภูมิต้านทานเชื้อโรคต่างๆ

เนื้อไก่ เป็นโปรตีนที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย กล้ามเนื้อ และอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ ตับ ม้าม ลำไส้ ให้ทำงานไปได้อย่างปกติ คอยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและ ช่วยสร้างเม็ดเลือดขาว ซึ่งมีหน้าที่สร้างภูมิต้านทานเชื้อโรคต่างๆ 

เมนูแนะนำ  ซุปใสไก่ฉีก  
ส่วนผสม

แคร์รอตหั่นแว่น  ครึ่งหัว

หอมหัวใหญ่หั่นเต๋า ครึ่งหัว

ก้านขึ้นฉ่ายซอยสั้นๆ 1-2 ต้น

อกไก่ต้มสุก 100 กรัม

ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ

รากผักชี 2-3 ราก 

น้ำเปล่า 2 ถ้วย

วิธีทำ 
  1. ตั้งหม้อต้มน้ำใช้ไฟกลาง ใส่รากผักชีลงไป ตามด้วยหอมหัวใหญ่และแคร์รอต ต้มจนเดือด คอยช้อนฟองออกอยู่เสมอ 
  2.  ใส่ขึ้นฉ่ายและและอกไก่ฉีกลงไป ตามด้วยซอสปรุงรส ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที ปิดเตาตักใส่ชามได้เลย  

Tip : หลังจากน้ำต้มผักเดือดแล้วจะตักรากผักชีออกหรือไม่ตักออกก็ได้ค่ะ ถ้าต้มจนเปื่อยแล้วก็สามารถกินได้เลย แต่เด็กๆ อาจจะไม่ชอบกลิ่นหรือรูปร่าง จะซอยให้สั้นลงเพื่อง่ายต่อการกินก็ได้ทั้งนั้น

ต้มจืดไข่เจียวเพิ่มพลัง สำหรับลูกวัย 1-3 ปี

1619
 

ต้มจืดเป็นเมนูยอดฮิตสำหรับเด็กเล็กๆ เนื่องจากไม่ต้องปรุงรสให้มาก และเป็นรสชาติที่เด็กๆ กินได้ง่าย  

ส่วนผสม 

ไข่ไก่ 2 ฟอง 

หมูสับ 100 กรัม  

น้ำซุป 2 ถ้วยตวง

น้ำมันหอย 1 ช้อนชา

ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ

แคร์รอตครึ่งหัว

วุ้นเส้น 50 กรัม 

น้ำมันสำหรับเจียวไข่ 

ขึ้นช่าย 1 ต้น  

 

วิธีทำ 

1. หมักหมูกับน้ำมันหอยประมาณ 15 นาที 

2. ตั้งกระทะเจียวไข่ เสร็จแล้วพักไว้ให้เย็น ใช้มีดหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ

3. ตั้งน้ำซุปให้เดือด ใส่แครอตลงไป ปั้นหมูสับเป็นก้อนใส่ลงไป คอยช้อนฟองออกจนหมูสุก 

4. ใส่ไข่เจียวและวุ้นเส้นลงไป รอจนวุ้นเส้นสุก ปิดเตา โรยขึ้นฉ่าย  

 

เคล็ดลับ : ถ้าลูกเบื่อข้าว อาจต้มมะกะโรนี หรือต้มเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่ชามแล้วตักต้มจืดราดตอนกินก็ได้ค่ะ

ถึงวัยที่พูดได้แล้ว แต่ลูกไม่พูด พูดช้า พูดไม่เป็นคำ ผิดปกติหรือไม่

2987 1

ถึงวัยที่พูดได้แล้ว แต่ลูกไม่พูด พูดช้า พูดไม่เป็นคำ ผิดปกติหรือไม่

ลูกพูดช้า ถึงวัยที่ต้องพูดแต่ยังลูกยังพูดไม่ได้ สาเหตุเป็นเพราะอะไร คุณหมอมีคำแนะนำให้ค่ะ

ลูกถึงวัยที่พูดได้แล้ว แต่ลูกยังไม่ยอมพูด ลูกพูดช้า ลูกพูดไม่ได้ ลูกพูดไม่ชัด คุณพ่อคุณแม่คงแอบกังวลใจอยู่ไม่น้อย เพราะในช่วงอายุ 1-5 ปี ถือเป็นโอกาสทองของพัฒนาการทางภาษาของเด็ก ๆ เลยก็ว่าได้ สาเหตุอะไรที่ลูกไม่พูด คุณหมอให้คำแนะนำไว้ดังนี้ค่ะ

สาเหตุของการพูดช้าในเด็ก

1. มีปัญหาการได้ยิน

เด็กจะสื่อความหมายด้วยท่าทางแทน ไม่พูด เรียกไม่ค่อยหัน ไม่สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงดัง ๆ การวินิจฉัยต้องตรวจการได้ยินโดยใช้เครื่องตรวจการได้ยินโดยแพทย์นะคะ สาเหตุนี้มองข้ามไม่ได้เลยค่ะ เพราะว่าถ้าการได้ยินของน้องมีปัญหา ต่อให้ฝึกพูดอย่างหนักแค่ไหน น้องก็ไม่ได้ยินค่ะ

2. สติปัญญาบกพร่อง

พัฒนาการของเด็กจะช้าในทุกด้าน ทั้งการพูด กล้ามเนื้อมัดใหญ่/มัดเล็ก และการช่วยเหลือตนเอง/เข้าสังคม หากคุณแม่ตรวจสอบพัฒนาการด้านอื่น ๆ ของลูกแล้วพบว่าช้าด้วย ก็อาจจะเข้าข่ายค่ะ

3. ออทิสซึ่ม

เด็กจะมีพัฒนาการด้านสังคมล่าช้า ไม่สบตา ไม่สนใจ ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใคร ร่วมกับมีปัญหาด้านการสื่อสาร ไม่สามารถพูดสื่อความหมายกับคนอื่นหรือไม่สามารถแสดงท่าทางเพื่อสื่อความหมาย และมีพฤติกรรมหรือความสนใจหรือการกระทำ ที่ซ้ำๆ จำกัด และเปลี่ยนแปลงได้ยากมาก

4. การเลี้ยงดู

บางครั้งการที่ปล่อยปละละเลยหรือขาดการกระตุ้นอย่างเหมาะสม เช่น ให้เด็กดูโทรทัศน์มากเกินไป คือเกินกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน (โดยเฉพาะ 2 ปีแรก) หรือผู้เลี้ยงดูขาดปฏิสัมพันธ์กับเด็ก พูดคุยและเล่นกับเด็กน้อย ปล่อยให้เด็กเล่นคนเดียวอยู่เรื่อย ๆ ข้อนี้พบมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากพ่อแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านจำเป็นต้องฝากลูกไว้กับพี่เลี้ยงหรือผู้สูงอายุมาก ๆ

เมื่อคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าลูกจะพูดช้า อย่ารีรอนะคะ รีบพาลูกไปพบแพทย์ทันทีที่สงสัยเลย เพราะที่หมอย้ำไว้ตั้งแต่แรก โอกาสทองในการพัฒนาทางงภาษามีแค่ 5 ปีนะคะ ถ้าลูกมีปัญหาที่ต้องแก้ไขจริง การไปฝึกตั้งแต่เนิ่น ๆ ย่อมเป็นผลดีแน่นอนค่ะ

วิธีแก้ไขปัญหาพูดช้า
  1. ขึ้นอยู่กับสาเหตุ หากเป็นปัญหาการได้ยินก็ต้องใส่เครื่องช่วยฟัง

  2. หากเป็นปัญหาสติปัญญาบกพร่อง ก็ต้องฝึกกระตุ้นพัฒนาการกันทุกด้าน โดยจะมีทีมสหวิชาชีพ (กายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด อรรถบำบัด) เป็นพี่เลี้ยงสอนคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

  3. หากเป็นออทิสซึ่มก็ต้องเน้นด้านสังคม โดยเริ่มจากฝึกให้เด็กมองหน้าสบตา ฝึกพูด รู้จักบอกความต้องการ และอาจต้องใช้ยาร่วมด้วย ถ้ามีปัญหาอารมณ์ พฤติกรรมก้าวร้าว หรืออยู่ไม่นิ่ง

  4. ถ้าเป็นสาเหตุจากการเลี้ยงดูที่ขาดการกระตุ้นที่เหมาะสม แนะนำให้ปิดโทรทัศน์เลยนะคะ และผู้ดูแลต้องหันมาพูดคุยและเล่นกับเด็กมากขึ้น ฝึกให้เด็กบอกความต้องการให้มากขึ้น  

  5. ผู้ดูแลต้องพูดคุยกับเด็กให้มากขึ้น ถึงแม้เด็กจะไม่พูดตอบก็ตาม ออกจากบ้านก็อาจชี้ชวนเด็กให้ดูนก ต้นไม้ ผู้คน หรือสิ่งน่าสนใจข้างทาง

  6. หากิจกรรมทำร่วมกับเด็ก ย้ำว่าทำร่วมกันนะคะ ไม่ใช่ให้เด็กเล่นแล้วคุณแม่ดูอยู่ห่าง ๆ เช่น ต่อตัวต่อ ปั้นแป้งโดว์ วาดรูป โดยระหว่างเล่นให้มีการพูดคุยกับลูกตลอดเวลา

  7. ฝึกให้เด็กบอกความต้องการให้มากขึ้น เช่น ลูกเดินถือขวดน้ำมาหาคุณแม่ อาจถามเขาว่า “ให้แม่ทำอะไรลูก..เปิดฝา(พร้อมทำท่าประกอบ) ใช่มั้ยคะ” หยุดรอการตอบสนองของเด็กสักครู่ แล้วค่อยเปิดให้เขา บางครั้งเราอาจจะเข้าใจอยู่แล้วว่าเด็กทำท่าแบบนี้เขาต้องการอะไร แต่คุณพ่อคุณแม่ลองเข้าใจให้ช้าลงหน่อยนะคะ เพราะถ้าเรารู้ใจเขาไปเสียหมด เด็ก ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่าเขาต้องการอะไร จริงไหมคะ

 

โดย : พญ.พรพิมล นาคพงศ์พันธุ์ ผู้เชี่ยวชาญจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่น สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์

นมเปรี้ยวน้ำตาลสูงปรี๊ด ให้ลูกกินบ่อยระวังโรคอ้วน

2793

พ่อแม่หลายคนมักเข้าใจว่าการให้ลูกดื่มนมเปรี้ยวนั้นช่วยให้ลูกขับถ่ายได้ดี แต่ทราบหรือไม่ว่านมเปรี้ยวที่จำหน่ายในท้องตลาดส่วนใหญ่จะมีปริมาณน้ำตาลสูงมาก ถ้าเด็กๆ ดื่มบ่อยๆ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วนได้ง่ายเลยค่ะ  ในแต่ละวันเด็กควรกินน้ำตาลไม่เกิน 4 ช้อนชา แต่นมเปรี้ยว 1 กล่อง มีน้ำตาลสูงถึงประมาณ 4-5 ช้อนชาเลยค่ะ หรือแม้แต่นมรสหวาน นมช็อคโกแลตก็มีปริมาณน้ำตาลสูงเช่นกัน

พ่อแม่บางคนให้ลูกดื่มนมเปรี้ยว เพราะอยากให้ลูกให้ขับถ่ายได้ดีขึ้น แต่ความจริงแล้ว เราสามารถปรับอาหารที่ลูกกินได่ค่ะ เช่น เพิ่มอาหารที่มีกากใย พวกผักใบเขียว ให้ลูกกินผลไม้ที่ช่วยเรื่องการขับถ่าย เช่น ส้ม แก้วมังกร และมะละกอ เป็นต้น

 
ที่มา : กรมอนามัย 

น้ำมูกไหลเหมือนเป็นหวัด แต่ลูกอาจกำลังแพ้อากาศ

4923 1

 

ไข้หวัดกับโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือที่เรามักเรียกกันว่า “แพ้อากาศ” มีอาการไม่ต่างกันนัก แต่แพ้อากาศนั้น บางครั้งอาจจะมีความรุนแรงมากกว่า ซึ่งหากคุณแม่คุณพ่อมีความเข้าใจในโรคภูมิแพ้ ก็สามารถปกป้องและดูแลลูกในเบื้องต้นได้ค่ะ

น้ำมูกไหล สัญญาณหวัด?

ฮั้ดเช้ยยยยย!

ฝนมาหวัดก็มา คุณพ่อคุณแม่อาจไม่แน่ใจว่าน้ำมูกที่ไหลออกมาจากจมูกลูกนั้นใช่อาการหวัดจริงๆหรือไม่ แม้ว่าไข้หวัดกับโรคแพ้อากาศจะมีอาการคล้ายๆ กัน แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว คุณพ่อคุณแม่สามารถแยกความต่างของทั้ง 2 โรคนี้ได้ เพื่อจะได้รักษาลูกได้อย่างถูกวิธี ดังนี้

ทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยนแปลง เด็กหลายคนจะมีอาการหายใจเสียงดัง คัดจมูก น้ำมูกไหล บางครั้งก็จามติดกันบ่อย ๆ จนคุณพ่อคุณแม่อาจคิดว่าลูกป่วยเป็นไข้หวัด ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ เพราะโดยปกติไข้หวัดมักเกิดในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เด็กจะมีอาการไอมีเสมหะ จาม เจ็บคอ เสียงแหบ รวมถึงมีไข้ต่ำๆ และปวดศีรษะร่วมด้วย ไข้หวัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งมีหลายสายพันธุ์ มักเป็นไม่เกิน 2-5 วัน ก็หายค่ะ 

ทั้งนี้อาการน้ำมูกใส ๆ ไหล อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคแพ้อากาศ ก็ได้นะคะ โดยเฉพาะถ้าลูกมีอาการเหมือนเป็นหวัดเรื้อรัง โดยที่ไม่มีไข้

แล้ว ไข้หวัด กับ แพ้อากาศต่างกันอย่างไร? มาดูกันค่ะ

ความแตกต่างของ หวัด กับแพ้อากาศ

4923 2

ไข้หวัดธรรมดา                                                                                   

  • มีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ

  • มีอาการจาม คัดจมูก มีน้ำมูกไหล (น้ำมูกใส)

  • มีอาการไอ เจ็บคอ

  • อาการเป็นทั้งวัน และอาจมีอาการมากตอนกลางคืน

  • มีอาการไม่เกิน 1-2 สัปดาห์

แพ้อากาศ

  • คันจมูก จาม คัดจมูก มีน้ำมูกใสไหล เป็นๆหายๆ ช่วงเช้า หรือ กลางคืนนาน 4 สัปดาห์ขึ้นไป

  • ไอเรื้อรัง มีเสมหะในช่วงเช้า หรือกลางคืน

  • อาจมีอาการคันตา น้ำตาไหล ตาแดง ตาบวม คันในเพดานปาก หู และผื่นคันที่ผิวหนัง ร่วมด้วย

  • มีอาการคล้ายหวัดเรื้อรัง โดยไม่มีไข้

  • มีอาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น ผิวแห้ง คัน เป็นผื่น ผิวหนังอักเสบ

  • อ่อนเพลีย ง่วงซึม รู้สึกไม่สบายตัว หรือหงุดหงิดง่าย เพราะนอนไม่เพียงพอ

 

อาการไข้หวัดกับอาการแพ้อากาศค่อนข้างคล้ายคลึงกันมาก คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการและดูแลลูกได้ในเบื้องต้น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อลูกไม่สบายมาก ควรพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อการวินิจฉัยโรคและการรักษาที่ถูกต้องค่ะ

 

การดูแลเด็กที่มีอาการแพ้อากาศ
  1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ อย่างเคร่งครัด

  2. ให้ลูกรับประทานยาแก้แพ้หรือพ่นยาตามคำแนะนำของแพทย์

  3. ใช้น้ำเกลือปราศจากเชื้อล้างจมูกเมื่อลูกมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล

  4. หากหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ไม่ได้ หรือการรักษาด้วยยาไม่ได้ผล โรคแพ้อากาศสามารถรักษาด้วยการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ได้ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาในการรักษาด้วยวิธีนี้ต่อไปค่ะ

วิธีลดความเสี่ยงการเกิดอาการแพ้อากาศ

อาการแพ้อากาศ คืออาการภูมิแพ้อย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อเป็นแล้ว อาจเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับอาการแพ้อื่น ๆ เช่น หอบหืด ที่อาจจะตามมาได้ แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันได้แต่เนิ่น ๆ ด้วยการดูแลสภาพแวดล้อมและการหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ดังนี้ค่ะ

1. หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ลูกแพ้

โดยเฉพาะสารก่อภูมิแพ้ไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กตาขนที่อาจมีไรฝุ่น รวมถึงฝุ่นในบ้าน สัตว์เลี้ยง หรือสารกระตุ้นต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ ควันธูป น้ำหอม สเปรย์ ควรทำความสะอาดบ้านโดยเฉพาะห้องนอนของลูกเป็นประจำทุกวัน เปิดหน้าต่างให้แสงเข้าบ้าง ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคภูมิแพ้ของลูกได้

2. เช็กสภาพอากาศก่อนพาลูกออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน

เพื่อหลีกเลี่ยงความชื้น มลภาวะ ฝุ่นละอองโดยเฉพาะฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ควันพิษ ที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้ลูกเกิดอาการแพ้ และเมื่อพาลูกกลับจากทำกิจกรรมนอกบ้านแล้วควรให้รีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันที

3. การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในสัดส่วนที่สมดุล

หากลูกน้อยของคุณแม่ยังทานนมแม่อยู่ ก็ควรทานนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน เพราะในนมแม่มีโปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วน ถูกทำให้เป็นโมเลกุลขนาดเล็กแล้ว จึงช่วยลดโอกาสการกระตุ้นให้เกิดการแพ้ อีกทั้งยังมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ อย่างเช่น บิฟิดัส บีแอล และแอลจีจี ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและความแข็งแรงให้กับร่างกายของลูกได้อีกด้วย

แต่ในบางกรณีจำเป็นที่ทำให้คุณแม่ไม่สามารถให้นมแม่ได้อย่างต่อเนื่อง คุณแม่สามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์ในเรื่องของ โปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วนที่ทำจากเวย์ 100% หรือ H.A. (Hypoallergenic) ตามคำแนะนำจากแนวทางปฏิบัติในการป้องกันโรคภูมิแพ้จากสมาคมโรคภูมิแพ้ และวิทยาคุ้มกันแห่งประเทศไทย 

 

เมื่อถึงวัยเริ่มอาหารเสริมตามวัยตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอาหารจำพวกโปรตีน ผักและผลไม้ และอาหารที่มีการเติมจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ อย่าง บิฟิดัส บีแอล จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและความแข็งแรงให้กับร่างกายของลูกได้ คุณแม่ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจไปกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ แต่ให้ทานในสัดส่วนที่สมดุล ไม่มากเกินไป ก็จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของลูกน้อย ค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับอาหารใหม่ ๆ ได้ค่ะ

4923 3

4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดี เพราะหากร่างกายลูกพักผ่อนไม่พอ อ่อนเพลียบ่อยๆ ภูมิต้านทานจะต่ำลง ทำให้ติดเชื้อโรคได้ง่าย เพราะฉะนั้นควรให้ลูกนอนหลับไม่ต่ำกว่าวันละ 8-10 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยประมาณวันละ 30 นาที นอกจากจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยแล้ว การออกกำลังกายร่วมกันยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของครอบครัวอีกด้วยค่ะ

ในช่วงที่เข้าฤดูฝนเช่นนี้ แม้ว่าจะมีปัจจัยกระตุ้นอาการภูมิแพ้ของลูกมากมาย หากคุณแม่คุณพ่อดูแลจัดการสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัวลูก ชวนลูกออกกำลังกายทุกวัน และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะช่วยปกป้องลูกจากอาการภูมิแพ้ได้ส่วนหนึ่งแล้ว เมื่อลูกมีสุขภาพแข็งแรง ไม่แพ้ เค้าก็พร้อมที่จะออกไปเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ในทุก ๆ วันค่ะ แต่หากลูกมีอาการภูมิแพ้กำเริบเยอะ ก็ควรไปพบแพทย์นะคะ

อยากรู้ว่าลูกน้อยมีความเสี่ยงภูมิแพ้แค่ไหน ทำแบบทดสอบเบื้องต้นได้เลยที่   https://www.nestlemomandme.in.th/sensitive-expert/sensitive-check

#SensitiveExpert #ผู้เชี่ยวชาญด้านความบอบบางของลูกน้อย

4923 4

ขอบคุณข้อมูลจาก : รศ. พญ. รวีรัตน์ สิชฌรังษี กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลพระรามเก้า

พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์

ปลาน้อยคอยรัก



3547

ทำอาหารให้ลูกน้อยทานว่ายากแล้ว การคิดเมนูให้ลูกน้อยในแต่ละวันนั้นยากยิ่งกว่า ไหนจะต้องคำนึงถึงสารอาหารที่ครบถ้วน ไหนจะกังวลว่ารสชาติอร่อยถูกปากลูกน้อยไหม วันนี้เราจึงขอนำเสนอเมนูที่ทำง่าย อย่างเมนูปลาน้อยคอยรักรับรองเลยว่าทั้งอร่อยและมีประโยชน์ต่อลูกน้อยอย่างแน่นอน

ส่วนผสม
  • ปลากะพงทั้งชิ้นแล่แล้วขนาด 2-3 นิ้ว 1 ชิ้น
  • ถั่วเขียวเลาะเปลือกนึ่งสุก 1 ช้อนโต๊ะ
  • ถั่วแดงต้มลอกเปลือกออก 1 ช้อนโต๊ะ
  • ถั่วลิสงต้มลอกเปลือก 1 ช้อนโต๊ะ
  • เห็ดฟางต้มสุกหั่นบางๆ 2 ช้อนโต๊ะ
  • นมสด 1/2 ถ้วยตวง หรือนมที่ลูกดื่มชงน้ำอุ่นในปริมาณที่เท่ากัน
  • เนย 2 ช้อนชา
  • เกลือ 1/8 - 1/4 ช้อนชา

ลงมือปรุง
  • นำปลากะพงไปทอดหรือย่างพอสุก ตักใส่จานพักไว้
  • ตั้งกระทะให้ร้อนใส่น้ำมันพืชหรือเนย นำถั่วและเห็ดลงผัด แล้วราดบนเนื้อปลา
  • จากนั้นราดด้วยนม เติมเกลือแล้วนำไปอบในเตาไมโครเวฟ ประมาณ 3 – 5 นาที (ถ้าใช้เนยชนิดเค็มไปต้องเติมเกลือ)


* พลังงานรวม 255 กิโลแคลอรี

Tip : เคล็ดลับการทำเนื้อปลาไม่ให้เหม็นคาว คือฝานมะนาวครึ่งลูก ทาให้ทั่วเนื้อปลาแล้วพักไว้ เวลาจะนำไปปรุงอาหารไม่ต้องล้างออก



 

พัฒนาการและการเลี้ยงดูลูกวัยเตาะแตะ

ไม่ใช่วัยอุแว้ แล้วนะ! พัฒนาการและการเลี้ยงดูลูกวัยเตาะแตะ


จั่วหัวเรื่องฟันธงไปแบบนี้ก็เพราะรู้ใจเจ้าตัวเล็กวัยพ้นขวบปีมาใหม่หมาด ที่ร่างกายและจิตใจเปลี่ยนแปลงไปกว่าตอนขวบปีแรกเป็นไหนๆ บางเรื่องก็เลี้ยงง่ายขึ้น แต่บางอย่างก็ต้องดูแลกันมากสักหน่อย

โตแล้วจ้า1-2 ปีครั้งนี้ ชวนคุณพ่อคุณแม่มาปรับตัวปรับใจต้อนรับขวบปีที่สองของลูกกันสักหน่อยค่ะ

ขวบปีที่2 หนูเปลี่ยนไป

แค่เพียงเดือนที่12 หรือ 13 ของชีวิตลูก พัฒนาการและการเลี้ยงดูก็แตกต่างไปมากเชียวค่ะถ้าเทียบกับตอนแรกเกิดจนเกือบจะครบ >1 ขวบ และที่เห็นได้ชัดคงเป็นด้านร่างกาย รวมทั้งเรื่องอาหารการกิน ซึ่งอย่างหลังดูจะขยับขยายใกล้เคียงผู้ใหญ่ไปมากแล้ว แต่เรื่องใหญ่ที่แสนอ่อนไหวของลูกวัยนี้ก็ไม่พ้นเรื่องการดูแลของพ่อแม่นั่นเอง เพราะแกคงไม่ชอบใจนักถ้ายังถูกเลี้ยงเหมือนเด็กทารก(ซึ่งเป็นอดีตสำหรับแกไปแล้ว) ก็แหม! ลูกทำอะไรได้เองตั้งหลายอย่างแล้วนี่นา

วัยแห่งการก้าวเดิน

*คนเป็นลูก...

วัย 13 เดือนนี้แม้การเดินของลูกจะยังล้มลุกคลุกคลาน ไม่โลดโผนเหมือนเด็กโต แต่แกก็รู้สึกลิงโลดกับพัฒนาการชิ้นโบว์แดงนี้มากเพราะมันช่วยยืนยันว่า หนูไม่ใช่ทารกแบเบาะอีกต่อไปแล้ว ที่สำคัญอิสระเสรี และการเรียนรู้ แสวงหาสิ่งที่สนใจ อยู่กับสองเท้าที่ก้าวเดินนี้แล้วด้วย

*คนเป็นพ่อแม่...

ก็คงต้องยอมให้แกเดินเองได้แล้วค่ะ อย่าเที่ยวอุ้มกระเตงอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าทำใจไม่ได้กลัวลูกจะล้มถลอกปอกเปิก ก็หาผ้ายางกันลื่นมารองรับเวลาหนูหัดเดินเสียหน่อยก็ดีนะ เดินเพื่อ...ค้นหา

*คนเป็นลูก...

เดินได้แล้วแบบนี้อยากรู้ อยากเห็น อยากสัมผัสอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ต้องคอยชี้นิ้วจะเอานู่นเอานี่หรือร้องงอแงเหมือนเมื่อก่อน

*คนเป็นพ่อแม่...

ดูเหมือนไม่ต้องเหนื่อยคอยหยิบคอยหาให้ แต่ขอบอกว่าต้องเตรียมใจกับรอยขีดข่วนตามพื้นหรือฝาผนังที่แกบรรจงจรดปลายดินสอ(ปากกา)ลงไป หรือวีรกรรมอื่นๆประมาณนั้น ขอเสนอว่าให้มองเป็นงานศิลปะชิ้นเอกของโลกก็เข้าทีนะ และฝากไว้อีกนิดค่ะว่าการสัมผัส อยากรู้อยากเห็น สำรวจสิ่งต่างๆเป็นพัฒนาการที่สำคัญของลูกถ้าไม่อันตรายหรือเสียหายเกินไป ปล่อยๆแกไปบ้างก็ดีค่ะ(หมายเหตุว่าควรอยู่ในสายตาตลอดเวลาดีที่สุด) ของเล่น...ก็ไม่เหมือนเดิม

*คนเป็นลูก...

ตอนนี้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ อาทิ แขน ขา ข้อไม้ข้อมือกำลังเจริญเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง และลูกก็สนุกที่จะทดสอบความเปลี่ยนแปลงของตัวเองอยู่ตลอดเวลาเกมหรือของเล่นอะไรที่เรียกพลังเหลือเฟือนี้ได้ ดาหน้าเข้ามาเลย หนูช้อบชอบของเล่นที่เหมาะกับหนูๆวัยนี้ ก็น่าจะเป็นพวกเคาะๆ ดึงๆ ลากๆ จูงๆ หรือจะหยอดรูปทรงไม้บล็อกก็ดีใช่เล่น แต่ถ้าประเภทยางกัด หรือโมบายล์ดนตรี เอาไว้ให้น้องเล็กๆเล่นเถอะจ้ะ

*คนเป็นพ่อแม่...

ก็มีหน้าที่สนับสนุนการเล่นของลูกนะซิค่ะ เพราะสำหรับเด็กๆแล้ว การเล่นคือชีวิตจิตใจของแกเลยทีเดียว การเลือกของเล่นให้เหมาะกับวัยและเสริมพัฒนาการ จะช่วยให้วันคืนที่ผ่านไปไม่เสียเปล่า อืม!แต่ขอมีพ่อกับแม่เป็นเพื่อนเล่นด้วยนะ โตช้า(กว่า)และกินได้น้อยลง

*คนเป็นลูก...

ถ้าเทียบกับเมื่อวัยอุแว้ เด็กในวัยนี้แทบทุกคนจะโตช้าลง น้ำหนักน้อยกว่า เช่น จากที่เคยขึ้นพรวดพราดในปีแรกถึงประมาณ 3 เท่าของแรกเกิดพอขยับมาปีที่2 ชักจะอืดๆไป จากที่เคยเป็นเด็กอ้วนท้วนจ้ำม่ำ จะกลายเป็นผอมเพรียวก็งานนี้แหล่ะ เหตุเพราะความเติบโตเรียนรู้และเข้าใจโลกมากขึ้นนี้ทำให้ เจ้าตัวเล็กของคุณเริ่มเลือกของกินมากขึ้น ดับเบิ้ลเป็นเท่าตัวด้วยเหตุเพราะสิ่งรอบตัวมันเร้าใจใฝ่รู้ไปหมดทำให้ลืมหิวไปเลย และอีกประการที่สำคัญจำนวนซี่ฟันที่ขึ้นมาเพิ่มมากขึ้น อาจทำให้แกเจ็บๆคันๆพาลให้เบื่ออาหารได้เหมือนกัน

*คนเป็นพ่อแม่...

อย่าเพิ่งตกอกตกใจ ถ้าลูกรักเป็นอย่างที่ว่านี้ สิ่งสำคัญคืออย่าบังคับให้ลูกกินตามความต้องการของเรา แต่ถ้าเป็นห่วงลูกอาจเพิ่มมื้อนมให้แกมากขึ้นอีกนิดและพลิกแพลงเมนูอาหารให้น่าสนใจอีกหน่อย คอยสังเกตและปรึกษากุมารแพทย์เป็นระยะเพื่อเช็คดูว่าสุขภาพลูกโดยทั่วไปสมบูรณ์ดีอยู่หรือไม่ เท่านี้ก็หายห่วงค่ะเข้าใจภาษามากขึ้น

*คนเป็นลูก...

แม้จะพูดยังไม่ได้เป็นคำเป็นประโยค แต่ลูกก็เข้าใจภาษาที่ใครๆคุยกับแกได้รู้เรื่องมากขึ้น ทั้งยังรู้จักที่จะแสดงความต้องการของตัวเองได้มากกว่าแค่การร้องไห้หรือหัวเราะเหมือนเมื่อก่อน รวมทั้งตอบสนองสิ่งที่คุยกับแกได้รู้เรื่องมากขึ้นด้วย

*คนเป็นพ่อแม่...

นอกจากจะถือโอกาสนี้สอนให้ลูกรู้จักคำศัพท์มากขึ้นด้วยการเรียกชื่อสิ่งต่างๆที่ได้รู้ได้เห็นในแต่ละวันแล้ว พ่อแม่ก็ต้องตระหนักด้วยว่า ลูกเป็นคนคนหนึ่งที่รู้เรื่อง จดจำ และเข้าใจสิ่งที่คุณกำลังสื่อสารพูดคุยกับแกอยู่ การรู้จักสร้างเงื่อนไข ใช้เหตุผล ให้ลูกได้โต้ตอบ ตัดสินใจ(ตามวุฒิภาวะ)ย่อมดีกว่าที่จะสั่งหรือทำตามความต้องการของพ่อแม่อย่างแน่นอน

ทั้งหมดนี้อยากบอกคุณพ่อคุณแม่เพียงว่า การช่างสงสัย ดื้อรั้นและปฏิเสธหัวสั่นหัว

คลอน รวมทั้งซนจนจับไม่อยู่ของลูกวัยนี้ ต้องการการเลี้ยงดูในสไตล์ที่กระฉับกระเฉง ฉับ

ไว ไม่นุ่มนวลเนิบนิ่มเหมือนอย่างก่อนเก่า...ก็เท่านั้นเอง

SPECIAL TIP!!

*เพราะเป็นวัยซน ไม่อยู่นิ่ง คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยดูแลลูกใกล้ชิดมากเป็นพิเศษเพื่อความมั่นใจว่า ลูกของคุณไม่ได้เผชิญอยู่กับสิ่งที่เป็นอันตราย
*เพื่อความปลอดภัยในช่วงที่ลูกอาบน้ำ คุณพ่อคุณแม่ควรทำความสะอาด ขัดๆถูๆห้องน้ำ และดูแลความปลอดภัยเป็นพิเศษ(อีกแล้ว)เพราะความซนและรีบเร่งของลูกอาจเปิดโอกาสให้อุบัติเหตุมาเยือนได้ค่ะ

ภูมิแพ้ ภัยเงียบใกล้ตัว ทำลูกป่วยเป็นโรคจมูกอักเสบ

 4978 1

เรื่องใกล้ตัวที่พ่อแม่มักไม่รู้เลยก็คือ ภูมิแพ้นั้นอยู่ใกล้ลูกมากกว่าที่คิด อย่างโรคจมูกอักเสบที่เด็ก ๆ มักเป็นกันบ่อย ๆ สาเหตุหลักก็มาจากภูมิแพ้เช่นกัน  

อาการโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้

โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ บางครั้งดูเหมือนโรคหวัดธรรมดา เช่น มีน้ำมูกใส ๆ จาม คันจมูก คัดจมูก ไอกระแอม แต่ความจริงแล้ว จะมีอาการหนักเพิ่มขึ้นเมื่อในช่วงเวลาที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ อาจจะจามติด ๆ กันเป็นสิบ ๆ ครั้ง คัดจมูกมากจนนอนหลับไม่ได้ หรือมีภาวะแทรกซ้อนตามมาได้อีกมากมาย เช่น ไซนัสอักเสบ แก้วหูอักเสบ ต่อมอดีนอยด์โตจนนอนกรนดังมาก อาจถึงขั้นหยุดหายใจขณะนอนหลับได้

สารก่อภูมิแพ้ที่คนทั่วโลกรวมถึงเด็กไทยด้วย แพ้บ่อยที่สุด คือ “ไรฝุ่น” ซึ่งพบมากบริเวณที่มีฝุ่นปนเปื้อนอยู่ เช่น สิ่งของเครื่องใช้ที่อยู่ใกล้ตัวลูก ตุ๊กตา หมอน ที่นอน ผ้าห่ม เปรียบเสมือนภัยมืดที่อยู่ใกล้ตัวลูก ๆ ของเรา ดังนั้นหากลูก ๆ มีอาการคล้ายหวัด แต่เป็นเรื้อรัง เป็นมากขึ้น ๆ หรือมีภาวะแทรกซ้อนเมื่ออยู่ใกล้สิ่งของดังกล่าว ควรไปพบแพทย์โรคภูมิแพ้เพื่อการวินิจฉัยและรักษาโรคที่ถูกต้องต่อไป

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้

4978 2

ประกอบด้วย 3 ปัจจัย คือ

1. ตัวเด็กมียีนหรือพันธุกรรมที่แพ้สารก่อภูมิแพ้

 

2. สารก่อภูมิแพ้ต้องมาสัมผัสใกล้ชิดเด็ก

 

3. สภาวะที่เหมาะต่อการเกิดโรค เช่น มลภาวะ PM 2.5 ควันรถ/ บุหรี่ การดูแลสุขภาพที่ไม่ดี นอนดึก ไม่ออกกำลังกาย เครียด รับประทานอาหารไม่ครบถ้วน เมื่อมีครบทั้ง 3 ปัจจัย ก็จะเกิดโรคได้

วิธีการรักษา

หากรู้ว่าแพ้สารก่อภูมิแพ้ตัวใดและสามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็จะไม่มีอาการของโรคอีกเลย แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้และมีปัจจัยครบทั้ง 3 ข้อ จะเริ่มรักษา โดย การล้างจมูก ยาพ่นจมูก ยารับประทาน หรือในบางรายต้องได้รับวัคซีนภูมิแพ้ร่วมด้วยจึงจะควบคุมอาการได้

วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงจากโรคภูมิแพ้

4978 3

จากปัจจัยด้านพันธุกรรมมีผลต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะหากทั้งพ่อและแม่เป็นโรคนี้ ลูกมีโอกาสเป็นโรคนี้ 60 – 80 % ดังนั้นถ้าเลือกคู่ครองที่ไม่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวได้ก็จะดีที่สุด แต่ถ้าเลือกไม่ได้แล้ว ควรจะต้องดูแลเด็กตั้งแต่เริ่มอยู่ในครรภ์ โดยไปฝากครรภ์ตั้งแต่เริ่มแรก ปฏิบัติตามที่สูติแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด พักผ่อนให้พอเพียงรับประทานอาหารหลากหลายชนิดให้ครบ 5 หมู่ งดสูบบุหรี่และงดไปแหล่งที่มีมลภาวะสูง

เมื่อเด็กทารกคลอด ควรให้นมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก และให้ต่อไปจนอย่างน้อยอายุ 1 ปี หรือนานที่สุดเท่าที่จะให้ได้ อาหารเสริมควรเริ่มเมื่ออายุ 6 เดือนขึ้นไป ดูแลสิ่งแวดล้อมของเด็กให้ห่างจากมลภาวะและสารก่อภูมิแพ้ชนิดต่างๆ

กรณีคุณแม่มีปัญหาสุขภาพหรือข้อจำกัดที่ไม่สามารถให้นมแม่ได้ คุณแม่อาจขอคำแนะนำจากแพทย์ในเรื่องของนมสูตรพิเศษ ที่เป็นสูตร Hypo-Allergenic (HA)ซึ่งมีโปรตีนผ่านการย่อยบางส่วน (partial hydrolysate formula) ร่วมกับ เติม Probiotics คือ เชื้อจุลลินทรีย์ชนิดดี เช่น Bifidus BL (B. lactis), LGG, L. reuteri เป็นต้น และอาจจะเติม Prebiotics คืออาหารของเชื้อจุลลินทรีย์ชนิดดี เช่น Lactose, GOS, IcFOS, 2’-FL เป็นต้น สุดท้ายแล้ว เมื่อเราดูแลลูกได้ดังที่กล่าวมาแล้ว คงทำให้เด็ก ๆ ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ลดลงได้บ้างไม่มากก็น้อย

อยากรู้ว่าลูกน้อยมีความเสี่ยงภูมิแพ้แค่ไหน ทำแบบทดสอบเบื้องต้นได้เลยที่ https://www.nestlemomandme.in.th/sensitive-expert/sensitive-check

#SensitiveExpert #ผู้เชี่ยวชาญด้านความบอบบางของลูกน้อย

4978 4

ขอบคุณข้อมูลจาก : นพ. วิชาญ บุญสวรรค์ส่ง กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้ โรคหืด และ วิทยาภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลวิภาราม

พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์

มะกะโรนีน้ำใส

1062

 

สำหรับบ้านไหนที่เบื่อเมนูเดิมๆ อยากหาเมนูที่ไม่ซ้ำจำเจ ให้กับลูกรัก ทำก็ง่ายแสนง่าย แถมได้คุณค่าครบถ้วน เป็นเมนูที่เหมาะกับเด็กวัยขวบขึ้นไป แนะนำ

มะกะโรนีน้ำใสเลยค่ะ 

 

เครื่องปรุง

ไก่สับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ

กุ้ง หลาหมึก หรือปลาที่ลูกไม่แพ้

มะกะโรนี 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำซุปไก่ 1/4 ช้อนโต๊ะ

หัวหอม / แครอต / มะเขือเทศ / ผักที่ลูกชอบ หั่นชิ้นเล็กๆ 

ซอสปรุงรส 2 ช้อนชา

 

วิธีทำ

1. ต้มมะกะโรนีจนสุกนิ่ม 

2. นำน้ำซุปไก่ตั้งไฟ ใส่ไก่สับ เนื้อสัตว์ มะกะโรนี และผักที่เลือก ตามด้วยซอสปรุงรส ต้มต่อจนทุกอย่างสุกนิ่ม ยกลง ตักใส่ชามเสิร์ฟลูกได้เลย 

 

 

มะระหวานผัดไข่ เมนูช่วยระบบขับถ่ายเจ้าตัวเล็ก

3295

มะระหวานหรือฟักแม้ว เป็นผักที่มีกากใย ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต ทั้งยังช่วยระบบขับถ่าย มีคุณสมบัติขับปัสสาวะได้ดีเยี่ยมเลยค่ะ เหมาะจะนำมาทำอาหารให้ลูกกินอย่างมาก และเมนูง่ายๆ อย่างมะระหวานผัดไข่ก็เป็นอีกเมนูที่ทำง่าย และรสชาติดีด้วย 

ส่วนผสม

มะระหวานปอกเปลือกหั่นเต๋า 1 ลูก 

ไข่ไก่ 2 ฟอง 

กระเทียมสับ 2-3 กลีบ 

ซอสปรุงรส 1 ช้อนชา 

ซอสหอยนางรม 1 ช้อนชา 

วิธีทำ 

  1. ตั้งกระทะ เทน้ำมันลงไป เจียวกระเทียมจนเหลืองหอม
  2. ตอกไข่ลง ยีจนแตก จากนั้นนำมะระหวานลงไปผัด 
  3. ใส่ซอสปรุงรสและน้ำมันหอยลงไป ผัดจนมะระหวานสุก ตักใส่จานให้ลูกกินกับข้าวสวยร้อนๆ อิ่มอร่อยได้ทันทีค่ะ

มัฟฟินไข่ ฟินฟิน

 

2410

มัฟฟินไข่ เมนูไข่สร้างสรรค์ที่ช่วยลูกรักเจริญอาหาร

ไข่ทำอะไรก็อร่อย และมีเมนูสารพัดเลยค่ะที่คุณพ่อคุณแม่จะสร้างสรรค์ให้เด็กๆ ที่บ้านได้อิ่มเอมเปรมปรีดิ์กัน โดยเฉพาะเมนูมัฟฟินไข่ ที่รับรองว่าต้องถูกใจเด็กๆ เป็นแน่ 

ส่วนผสม

ไข่ไก่ 4 ฟอง 

นมสด 2 ช้อนโต๊ะ 

ต้นหอมซอย 1-2 ต้น 

หอมใหญ่หั่นแต๋า 1 ช้อนโต๊ะ 

มะเขือเทศหั่นเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ 

แฮมหั่นชิ้นเล็กๆ 2-3 แผ่น 

เกลือเล็กน้อย 

ชีสขูด ตามชอบ 

น้ำมัน (สำหรับทาที่พิมพ์)

 

วิธีทำ 
  1. เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส วอร์มไว้ 10 นาที 
  2.  ตอกไข่ใส่ชาม ใส่นมสด เกลือ ลงไป ตีให้เข้ากัน 
  3.  ทาน้ำมันลงในพิมพ์ให้ทั่ว เรียงผัก ชีส และแฮมลงไป 
  4. เทไข่ลงไปประมาณ 3/4 ของพิมพ์ แล้วนำเข้าเตาอบ ที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส อบไว้ประมาณ 15-20 นาที 
  5. เสร็จแล้วนำออกมาใส่จาน จะโรยด้วยชีส ผัก หรือเบคอนทอดก็ได้ตามใจชอบเลยค่ะ

รักลูก The Expert Talk EP.102 (Rerun) : ชวนพ่อแม่ “รู้” และ “เท่าทัน” สื่อ

 

รักลูก The Expert Talk Ep.102 : ชวนพ่อแม่ "รู้" และ "เท่าทัน" สื่อ

 

รับมือเมื่อลูกเข้าสู่โลกดิจิตอล พ่อแม่ต้องรู้เท่าทันอย่างไร

 

ฟัง The Expert อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

นักวิชาการด้านสื่อ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

เพื่อให้เรารู้เทคนิค วิธีการที่จะรับมือกับทั้งสื่อ จอ และ Content หลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ใช้สื่ออย่างรู้เท่าทัน

  

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.104 (Rerun) : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว “ไม่สำลักความรัก จนเป็นเหยื่อถูกล่อลวง”

 

รักลูก The Expert Talk Ep.104 : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว ไม่สำลักความรักจนเป็นเหยื่อถูกล่อลวง

รักมากไปทำร้ายลูก? รักจนสำลักความรัก ประคบประหงมจนไม่ให้ลูกทำอะไร ทุกอย่างล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก แต่มากไปก็ทำลายลูก

 The Expert รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม

เลี้ยงประคบประหงม เด็กป่วยได้ง่าย (Munchausen Syndrome by Proxy)

เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องเลี้ยงดูและดูแลสุขภาพแต่มีประเภทที่เยอะเกินไป มีเคสที่ลูกตกเตียงซึ่งอยู่กับพี่เลี้ยงตกตอนเที่ยงแต่พอตกเย็นก็พาลูกมาที่รพ. ให้หมอเช็กอย่างละเอียดเพราะว่ามีลูกคนเดียวและแม่ก็อ่านมาแล้วว่าเลือดที่ซึมออกมาจากในสมองมันจะไม่มีอาการ แต่อยากให้หมอรับรอง100% ว่าลูกไม่มีปัญหา หมอถามว่าเกิดอะไรขึ้น ความจริงคือเด็กตกเบาะเลี้ยงเด็กซึ่งกลิ้งแล้วหัวกระแทกพื้นไม่ปาร์เก้ลูกตกใจ ร้องไห้ เสร็จแล้วก็เล่นปกติ แต่ว่าแม่ไม่ไว้ใจ และอยากให้ทำMRI ซึ่งการทำกับเด็ก 9เดือนไม่ได้ง่าย แต่ด้วยความที่มีลูกคนเดียวและไม่พลาดไม่ได้เลยขอให้แม่ยืนยันซึ่งไแพงแค่ไหนก็ยอมจ่าย

การทำMRIเด็กต้องนิ่งมากซึ่งทางเดียวที่จะทำคือเพื่อให้เด็กหลับ แล้วฉีดสีเข้าไปในเส้นเลือดว่ามีปัญหาเกิดขึ้นตรงไหนใช้เวลาเป็นชั่วโมงก็อาจจะต้องดมยา พอแม่ได้ยินก็บอกหมอว่าเต็มที่ไม่อั้นแต่คนเจ็บตัวคือลูก ลักษณะแบบนี้คือ Munchausen Syndrome by Proxy เครียดมากและวิตกกังวลมาก อาจจะมาจากการเห็นคนในบ้านป่วยจากประสบการณ์เดิม จึงตรวจหาความเสี่ยงของลูกทุกอย่างเพื่อไม่ให้มีความเสี่ยงซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพที่เยอะเกินไป

อีกเคสคือย่าเป็นมะเร็งไตแล้วเสียชีวิต แม่ต้องการทำRenal scan (การตรวจสแกนไต) ซึ่งทำไม่ได้ถ้าไม่มีข้อบ่งชี้แม่ก็ไปเอาน้ำแดงมาผสมในปัสสาวะ แล้วให้หมอตรวจคือสำหรับหมอตรวจไม่ยากว่าเป็นน้ำแดงหรือเลือด แบบนี้คือทำให้เกิดเครียด วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ เครียดแล้วมาลงที่ลูก ผลที่เกิดกับลูกคือเกิดความหวาดระแวงไปกับแม่ ลูกซึมซับความหวาดระแวงจากแม่นี่คือในแง่ของสุขภาพ ลูกกังวล เครียดมาก

เลี้ยงแบบเร่งรัด เด็กต่อต้าน (Overstimulation)

ตอนนี้มีปัญหาเยอะเพราะด้วยระบบแพ้คัดออก เรียนทุกวัน ตื่นตั้งแต่ตีห้าเลิกเรียนก็กวดวิชาแล้วก็ติวกลับมาทำการบ้าน นอนตี1 ตื่นตี5วนไปแบบนี้ทั้งสัปดาห์ พอเสาร์อาทิตย์ก็กวดวิชาเช้าบ่าย หมอเคยเจอเคสรร.สาธิตชื่อดังพอลูกสอบเสร็จพ่อก็ให้ไปเรียนกวดวิชาที่ลงเรียนไว้ ลูกก็โมโหว่าทำไมไม่ถามว่าลูกอยากเรียนไหม เขาอาจจะอยากเล่นไวโอลิน อยากไปเที่ยว พ่อบอกว่าก็อยากจะเป็นหมอ ตอนที่มาหาหมอคือแม่ร้องไห้ พ่อความดันขึ้นเพราะว่าหวังดีแต่ทำไมเป็นแบบนี้

หมอก็ถามว่านี้เป็นเป้าของใครพ่อบอกว่าเป็นของลูก แล้วพอเราลงกวดวิชาเต็มที่แล้วแต่ลูกไม่ได้เป็นหมอจะเสียใจไหมพ่อบอกว่าไม่เสียใจเพราะว่าไม่ใช่เป้าของพ่อ เป็นเป้าของลูกและพ่อก็บอกว่าการที่พ่อจะทำให้ลูกคนหนึ่งมันผิดด้วยหรือ ซึ่งพอคุยไปพ่อก็บอกว่าผมไม่ได้อยากให้ลูกเป็นหมอเขาจะทำอาชีพอะไรก็ได้ที่รักและชอบและขอให้เป็นคนดี หมอก็บอกว่าพูดดีมากให้กลับไปบอกลูก ซึ่งหลังจากนั้นความดันในบ้านก็ลดลงมากเพราะที่ผ่านมาทะเลาะกันตลอด

ตอนนี้พ่อแม่ส่วนใหญ่วางเป้าให้ลูกเรียบร้อยเลยแล้วลูกก็มีหน้าที่เดินตามเป้าและบอกตัวเองว่าการที่พ่อแม่ทำให้ลูกมันผิดด้วยเหรอ ไม่ผิดแต่เป็นเป้าของพ่อแม่หรือของลูก แล้วการที่ส่งสัญญาณว่าไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ได้บอกตรงๆหรือยัง ซึ่งถ้าทำแบบนี้ได้ก็จะไม่เจอกับการเรียนแบบOverstimulationเร่งรัดบังคับจันทร์ถึงจันทร์ แต่จะได้ใจถึงใจ

เลี้ยงแบบสำลักความรัก (Over Indulgence/Spoiled Child)

มีบ้านไหนที่ลูกทำงานบ้านบ้าง นี่เป็นการร่วมทุกข์ร่วมสุขในบ้านเรามีเด็กเยอะที่ไม่ปัดกวาด ถูบ้านล้างจาน พ่อแม่สปอยทุกอย่างจนทัศนคติของลูกเปลี่ยนว่า งานบ้านไม่ใช่หน้าที่เขาไม่จำเป็นต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขในบ้าน ความรักไม่เกิดบนการร่วมทุกข์ร่วมสุข มีแต่สุขอย่างเดียว เด็กจะกลายเป็นคนที่ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นเพื่อนมนุษย์

เวลาจะรักใครก็รักแบบฉาบฉวย พ่อแม่ไม่รู้ตัวว่ากำลังพัฒนาลูกไปเป็นแบบนั้นไม่สามารถรักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุข ปรนเปรอให้ทุกอย่าง นี่คือการสปอยล์ รักเยอะ ผิดหวังไม่ได้ เจอกับความผิดหวังก็เบรคเลย ไปไกล่เกลี่ยก็ลงเอยด้วยการใช้ความรุนแรง พ่อแม่ต้องรักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ใช่มีแต่ความสุข ปรนเปรอแต่ความสุขเจอความยากลำบากไม่ได้ ต้องเจอความยากลำบากร่วมกันง่ายๆ คือ ปัดกวาด ถูกบ้าน ซักผ้า ล้างจาน

เลี้ยงขาดพื้นที่ส่วนตัว เด็กเกิดความเครียด (Parenting Enmeshment)

หมอเคยเจอบ้านที่ไม่ดูทีวีจนอายุ 18ปีจะใช้เครื่องมือสื่อสารไม่ได้ เมื่อเข้าบ้านห้ามใช้ใช้ได้อย่างอิสระเมื่ออายุ 18ปีขึ้นไป ลูกมีห้องส่วนตัวแต่ปิดไม่ได้เพราะว่าพ่อสามารถ เข้าไปดูได้ทุกเมื่อสามารถไปดูแชทส่วนตัวได้ มีเคสที่แม่ลูกชายอายุ 14ปี ยังอาบน้ำกับแม่ขาดพื้นที่ส่วนตัวมาก ถ้าบ้านไหนทำอยู่ให้กลับมาตั้งหลักใหม่

ลูกไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ที่อยากทำอะไรก็ได้เป็นความเข้าใจผิดการให้เกียรติและเคารพศักดิ์ศรีของลูกจึงมีนัยยะแม้ลูกโตมาถึงชั้นประถมไม่ต้องรอถึงมัธยม การที่พ่อไม่จับที่สงวนของลูกเลย เคารพในพื้นที่ส่วนตัว ลูกจะเกิดการเรียนรู้เลยว่าขนาดคนเป็นพ่อยังเคารพพื้นที่ส่วนตัว แล้วคนอื่นที่เป็นคนนอกจะมารุกล้ำได้อย่างไร ถ้าไม่สอนด้วยวิธีนี้จะสอนด้วยการท่องจำหรือ

การที่พ่อแม่ทำให้ดูเป็นตัวอย่างซึ่งจะเป็นสิ่งที่ติดตัวลูกเมื่อโตขึ้น อยากให้ลูกเป็นแบบนั้นไหน อยากให้ลูกเป็นคนเคารพพื้นที่ส่วนตัวก็ต้องทำแบบนั้นกับลูกเช่นเดียวกัน ศรัทธาและสัจจะของลูกมีความหมาย วันนี้เราไม่มั่นใจลูกเลยก็ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ซึ่งศรัทธาเกิดขึ้นจากพลังบวก เช่นเดียวกันเด็กที่โตมาในครอบครัวที่เข้มงวด ก็จะขาดความมั่นใจไม่เหลือเลย ขาดภาวะผู้นำไม่มีsense of propority การเคารพพื้นที่ส่วนตัวไม่มีถูกล่อลวงโดยไม่รู้ตัวและเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.105 (Rerun) : เปลี่ยน "วัยทอง" เป็นช่วงเวลาทองของชีวิต

 

รักลูก The Expert Talk Ep.105 (Rerun) : เปลี่ยน "วัยทอง" เป็นช่วงเวลาทองของชีวิต

เด็กจะเติบโตมาเป็นคนอย่างไร ก็อยู่ที่ช่วงเวลานี้ จุดเปลี่ยนสำคัญที่พ่อแม่ต้องเข้าใจพัฒนาการ รู้วิธีรับมือและพลิกเป็นโอกาสที่จะส่งเสริมพัฒนาทักษะลูก เพื่อให้เป็นช่วงเริ่มต้นของชีวิตที่ดีของลูก

ฟังมุมมองการรับมือวัยทองแต่ละช่วงวัยจาก The Exeprt ครูก้า กรองทอง บุญประคอง

ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กปฐมวัย และผู้ก่อตั้งโรงเรียนจิตต์เมตต์

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u