ถึงเป็นเด็กก็มีน้ำโหได้เหมือนกันนะ ยิ่งเป็นความโมโหที่มีจำเลยเป็นน้องสาวจอมป่วนด้วยแล้ว งานนี้พ่อนุจะจัดการกับอารมณ์โกรธ(แบบมีเหตุผลประสาเด็ก)ยังไงละเนี่ย
เย็นวันหนึ่ง ขณะผมกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ ห่างออกไปหนูนุกับหนูนินั่งขีดเขียนกันเงียบ ๆ อยู่ที่โต๊ะประจำของเด็ก ๆ สักพักน้องนิยื่นมือไปแย่งดินสอจากมือพี่นุ หนุ่มน้อยหันขวับ ลุกขึ้นยืน ยกเท้าเตะ หลังเท้ากระทบเข้ากึ่งอกกึ่งคาง
น้องนิ นิ่งไปวูบหนึ่ง แล้วร้องจ้า
ผมเห็นไกล ๆ ตอนแรกนึกว่า น้องนิโดนน๊อกเสียแล้ว เพราะมุมที่ผมมอง คล้าย ๆ กับลูกเตะนั้น เข้าที่กระโดงคาง ส่วนท่าเตะก็ไม่ใช่วาดเท้าแบบมวยครับ เป็นท่าเตะบอล แบบโกลล์เตะจากประตู พอน้องนิร้อง ก็โล่งอก
ผมเอ็ดนุเสียงดัง จ้องหน้านิ่ง และเรียกให้มาหาทันที ตัดสินใจว่า ครั้งนี้ต้องเอาเรื่อง แม้จะไม่ได้เจตนาก็ตาม เพราะท่าเตะท่านี้อันตรายเกินไป
น้องนุเดินมาตามคำสั่ง จ้องตาผมเขม็ง เอามือท้าวเอว ทำปากยื่น แบบท่าโกรธของเขาแหละครับ
พอเห็นสายตาลูก ผมเริ่มผิดสังเกต แต่ไหนแต่ไร ถ้าผมดุ หนูนุจะหยุด ไม่เคยใช้สายตาแบบนี้เลย เราสองคนจ้องตากันแบบประลองกำลังภายในสักพัก ผมเริ่มรู้ว่าครั้งนี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ
"นุทำน้องแรงแล้วมาโกรธป๊าเรื่องอะไร" เท่านั้นเอง หนูนุก็ปล่อยโฮออกมา แกคงตึงเครียดเหมือนกัน ปล่อยโฮแล้วโผเข้าหาแม่ให้แม่ปลอบ เป็นสัญญาณชัดเจนว่าครั้งนี้นุโกรธผมมาก ทุกครั้งที่ร้องไห้ พอคุมอารมณ์ได้ อย่างน้อยก็ยังยอมให้ผมปลอบ ครั้งนี้ไม่ยอมด้วย ตั้งแต่โตมาครั้งนี้แรงที่สุด
คุณแม่กับคุณน้าช่วยกันปลอบอยู่พักใหญ่ ก็ยังสะอึกสะอื้นไม่หาย ยังพูดไม่ออก พอผมเห็นว่าอารมณ์เริ่มเย็นลงแล้ว ก็ลองเรียกนุมาอีกที ตอนนี้ถึงยอมเข้ามาให้กอด
"ป๊าช่วยให้หายนะ เดี๋ยวจะกอดแรง ๆ แล้วนุหยุดร้องนะ" ตอนเด็ก ๆ เราสองคนเคยใช้วิธีนี้กัน ผมจะกอดนุ แรง ๆ พร้อมกับบอกว่า "เงียบ" ครั้งนี้ทำเหมือนเดิม แต่ไม่พูดอะไรแค่นับ "นึง ส่อง ส้าม อึ๊บ"
หนุนุ เริ่มเย็นลง แต่ยังมีเสียงสะอื้นอยู่ ผมเลยพาออกนอกบริเวณ น้องนิตัวก่อเรื่องน่ะหันไปเล่นอะไรเป็นที่เพลิดเพลินไปแล้ว แต่ตัวพี่ชายนี่สิ ไม่รู้เกิดของขึ้นจากอะไร พอสงบสติอารมณ์ได้กำลังดีผมเลยถามต่อ
"นุโกรธน้องเรื่องอะไรครับ" หนูนุรวบรวมพลังเสียงพูดออกมา ก่อนจะปล่อยอีก "โฮ" ใหญ่
"นิ ชอบ แย่ง"
พี่ใหญ่คนนี้คงเต็มอั้นกับความประพฤติของน้องเล็กมานาน ที่เห็นใจดีใจดีแบ่งของให้น้องบ่อย ๆ น่ะ ที่จริงมีส่วนที่อดกลั้นอยู่เหมือนกันนะ มิน่า ครั้งนี้เรื่องจริง ๆ ก็นิดเดียวแต่ผมเรียกมาดุแรงไปหน่อยเลยบานปลาย
ฉากนี้เป็นฉากธรรมชาติเลยนะครับ บ้านไหนก็ต้องเจอ บางบ้านจบไม่สวยกลายเป็นพ่อแม่ทะเลาะกัน สูตรสำเร็จคือตอนพ่อดุ ลูกไปหาแม่ พ่อเลยดุแม่ หาว่าแม่ให้ท้าย
จริง ๆ คนหนึ่งดุคนหนึ่งปลอบก็ไม่เห็นจะเป็นไร ดีเสียอีก ถ้าดุพร้อมกันสองคนเด็กก็แย่สิครับ เอาแค่ตรงเนื้อความหรือข้อมูลที่ให้ลูกน่ะ ต้องยืนยันตรงกัน เช่น เตะน้อง ไม่ถูก วันหลังห้ามแตะ ก็พอแล้ว
หลังจากนั้น สงครามระหว่างพี่น้องก็สงบลง แม้ว่านุจะกลับ เป็นพี่นุที่แสนดีคนเดิม แต่ก็เริ่มรู้จักการอาละวาดมากขึ้น ส่วนน้องนิก็เกรง ๆ ลูกเตะพี่ชายอยู่หลายส่วน
ความโกรธ เป็นปัญหาใหญ่ของเด็กวัยนี้ เพราะความสามารถในการควบคุมอารมณ์ยังไม่ดีพอ แม้จะเป็นปัญหา แต่ก็เป็นจังหวะสำคัญของการพัฒนา ถ้าคิดถึงความโกรธ เป็น ศัตรู ของ สุขภาพจิต การเอาชนะศัตรูก็มีทางเดียว คือ เผชิญหน้ากับมัน
หนูนุ เป็นเด็กที่ไม่ค่อยโกรธ ใจเย็น โอบอ้อมอารี แต่เวลาโกรธทีก็เอาเรื่องเหมือนกัน เรื่องนี้คงต่างกันไปในแต่ละคน บางคนโกรธง่ายหายเร็ว บางคนโกรธง่ายหายช้า อาฆาตอีกนาน บางคนโกรธยากหายช้า สองประเภทหลังนี่ไม่ดี ที่จริง ก็ไม่ดีทั้งสามประเภทนั่นแหละ ที่ดีที่สุด น่าจะเป็นโกรธยากแต่หายเร็ว คนอะไรร้อยวันพันปีไม่เคยโกรธ โกรธปุ๊บ ก็หายเลย แบบนี้ใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้
ในบรรดาความโกรธลักษณะต่าง ๆนี้ เจ้าหนูนิจะเป็นประเภท โกรธง่ายหายเร็ว ไม่พอใจอะไรนิดหน่อยเป็นออกฤทธิ์ พอเบี่ยงเบนสักพักก็หาย บางทีไม่ต้องเบี่ยง พอฤทธิ์ออกจากตัวไปสักพักก็หายเอง
วานนี้ ผมพันตูกับความโมโห ไม่เข้าเรื่องของหนูนิบ้าง สองคน จ้องหน้ากันเขม็ง
“นิทำอย่างนี้ ป่าป๊า โกรธ แล้วนะ” หนูนิจะกลัวเวลาผมทำหน้าโกรธ ก็ท่าเท้าเอวหรือกอดอก ห่อปากจู๋ แหละครับ พอยัยหนูเห็น ก็ส่งเสียงคร่ำครวญ น้ำตาคลอ ๆ
“อย่า โกด ดี๊” หนูนุเดินมายืนข้างหลังนิ เท้าเอวทำปากยื่นใส่ผม เอ ไม่มีในบทนะลูกงานนี้พ่อโดนรุมครับ
“มานี่น้อง.. มาหาพี่มา… พี่โอ๋” น้องนิน้ำตาหยดออกมา แล้วสองคนพี่น้องก็กอดกัน พี่นุ เอามือเช็ดน้ำตาให้น้อง ก่อนชวนกันไปเล่นที่อื่น
นุ นะ นุ เที่ยวนี้ทำ ป่าป๊า เป็นผู้ร้ายไปซะแล้ว
คราวหน้าต้องเอาใหม่ ใช้ความรุนแรงปะทะตรง ๆ ไม่ได้การ ต้องใช้กระบวนการทางการทูตมากกว่านี้หน่อย
----------------------------------------------------------------