“ฮิคิโคโมริ” ไม่ใช่โรคใหม่ แต่มีมานานมากแล้ว มักเกิดขึ้นในแทบเอเชียเราด้วย ล่าสุดด้านสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยผลสำรวจพบว่า ปัจจุบันมีกลุ่มเด็กญี่ปุ่นที่มีอาการฮิคิโคโมริมากถึง 2 - 3 ล้านคน ซึ่งเป็นพฤติกรรมของเด็กที่แยกตัวออกมาจากสังคม พยายามพบเจอผู้คนให้น้อยที่สุด และชอบเก็บตัวในห้องส่วนตัว หรือในบ้านเป็นระยะเวลานานๆ โดยไม่อยากไปโรงเรียน
ซึ่งเด็ก ๆ เหล่านี้ก็อาจจะอ่านหนังสือการ์ตูน เล่นเกม ดูทีวี หรืออยู่ในห้องคนเดียวได้เป็นเดือนๆ เป็นปีๆ อาการแบบนี้ไม่ธรรมดาเลยนะคะ แต่ประเทศไทยยังไม่พูดถึงอาการนี้ อาจจะมองว่าเป็นคนชอบเก็บตัว แต่ถ้าเกิดขึ้นกับเด็กที่ต้องมีพัฒนาการที่สมวัย เล่น เรียนรู้ ไม่ใช่เก็บตัว พ่อแม่ผู้ปกครองต้องคอยสังเกตลูกหลานให้ดี และหากพบว่ามีอาการ “ฮิคิโคโมริ” ต้องรีบปรึกษาจิตแพทย์เพื่อแก้ไขพฤติกรรมโดยด่วนค่ะ
ถูกกดดันเรื่องการเรียน ถูกคาดหวังให้เก่งมากไป จากครอบครัว เป็นคนขี้อาย มีปมกลัวการเข้าสังคมด้วยหลากหลายเหตุผล ถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนหรือคนรอบข้าง พูดไม่เก่ง ไม่กล้าปฏิเสธ ยอมคน มีอารมณ์อ่อนไหวกับคำวิจารณ์มาก เมื่อเจ็บปวดก็ยอมรับไม่ได้ ชอบหนีปัญหา และค่อยๆ ทำตัวให้ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
ทุกวันนี้ รูปแบบและวิถีชีวิตเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งระบบการศึกษาแบบแข่งขันทุกรูปแบบ และด้วยเทคโนโลยีสารพัดที่ถาโถมเข้าใส่เด็กและเยาวชนในปัจจุบัน บวกกับพ่อแม่ไม่มีเวลาอยู่กับลูก เราจะพบเห็นเด็กจำนวนมากที่เริ่มปลีกตัวจากสังคม และอยากอยู่คนเดียวโดยไม่สนใจผู้อื่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
หากอยากให้ลูกมีความสุขกับชีวิต ห่างไกลจาก “โรคฮิคิโคโมริ” ควรทำดังนี้ค่ะ
ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ที่ชอบพูดว่าไม่มีเวลา ต้องหันมาสำรวจตัวเองแล้วล่ะค่ะว่าเราทำงานหนักไปเพื่ออะไร ถ้าคำตอบเพื่อหาเงินมาดูแลลูก ลองถามลูกดูว่าลูกต้องการสิ่งของ หรือต้องการอยู่กับพ่อแม่มากกว่ากัน เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับลูกน้อยนะคะ
วิธีคิดบวกเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับพ่อแม่ที่ต้องมีต่อลูก เพราะการคิดบวกจะส่งต่อวิธีคิดไปสู่ลูกด้วย เช่น ถ้าลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แทนที่พ่อแม่จะใช้วิธีดุด่าว่ากล่าว อาจเปลี่ยนไปใช้วิธีพูดเพื่อให้กำลังใจที่เชื่อว่าลูกสามารถแก้ไขได้และปรับปรุงได้
ต้องมีเวลาทำกิจกรรมครอบครัว คุณพ่อคุณแม่สามารถคิดกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัยของลูก ทั้งยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วย เพราะการมีกิจกรรมครอบครัวที่ดีอย่างสม่ำเสมอ จะได้เปิดโอกาสพูดคุยกันทุกเรื่องกับลูกได้อย่างไม่เขินอาย
หากที่ผ่านมาคุณไม่ค่อยได้รับฟังลูก ก็ให้เปิดใจและรับฟังลูกให้มากขึ้นนะคะ เพราะการรับฟังเป็นจุดเริ่มต้นของการทำความเข้าใจ และสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน พ่อแม่จะได้เข้าใจวิธีคิดของลูกว่าลูกคิดอย่างไรต่อเรื่องนั้นๆ และจะทำให้เราสามารถสอดแทรกบางเรื่องที่ต้องการให้ลูกเรียนรู้ได้ด้วย
ลดการเรียนกวดวิชาของลูกลง แล้วเพิ่มกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เหมาะกับลูก ให้เริ่มจากกิจกรรมที่ลูกชอบ และกิจกรรมที่สามารถเพิ่มทักษะชีวิตให้ลูกนอกห้องเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะชีวิตที่ช่วยเสริมความมั่นใจ เสริมศักยภาพบางด้านของลูก
พ่อแม่ขี้ระแวงไม่ค่อยไว้ใจลูก ไม่คิดว่าลูกจะทำได้ กังวลไปทุกเรื่อง ลูกต้องเครียดแน่ๆ ทางที่ดีพ่อกับแม่ต้องแสดงให้ลูกเห็นว่าไว้ใจลูกเสมอ เปิดโอกาสให้เขาได้ทำอะไรด้วยตัวเอง ให้เขาได้กล้าแสดงออก จะทำให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง และเขาจะเติบโตขึ้นไปด้วยความไว้วางใจผู้อื่นต่อไปด้วย
ถ้าไม่อยากให้ลูกเป็น โรค 'ฮิคิโคโมริ' เด็กอยากอยู่ห้อง ไม่ชอบเจอคน ต้นเหตุจากครอบครัว ภัยเงียบที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม ต้องทำ 6 ข้อข้างต้นให้ได้ค่ะ