แม้ประเทศไทยจะเป็นเมืองร้อนแต่ก็ใช่ว่าชินกับอากาศแล้วจะปล่อยใจปล่อยตัวตามสบายจนไม่ระวังอะไรเลย มาดูกันว่ามีโรคอะไรที่จะมากับหน้าร้อนกันบ้างระวังไว้กันด้วยก็ดีนะคะ
1. โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน (Acute Diarrhea) เกิดจากการกินอาหารหรือน้ำดื่มที่มีเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส โปโตซัว พยาธิ ทำให้มีการถ่ายอุจจาระติดต่อโดยการกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ มักพบในอาหารปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ ซึ่งมีอยู่ทั้งในเนื้อสัตว์ ไข่ รวมทั้งอาหารกระป๋อง อาหารทะเล นมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ หรืออาหารที่ปรุงทิ้งไว้เป็นเวลานาน จึงทำให้มีอาการปวดท้อง อุจจาระร่วง หรือการติดเชื้อไปยังอวัยวะอื่น เช่น ข้อกระดูก ถุงน้ำดี หัวใจ ปอด จะมีโอกาสทำให้รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบจะบูดเสียง่าย และล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร
2. โรคอาหารเป็นพิษ (Food Poisoning) กินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค มักพบในอาหารปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ หรืออาหารที่ปรุงทิ้งไว้เป็นเวลานาน ซึ่งเชื้อที่ได้รับสามารถทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะอาหารและลำไส้ได้ จึงทำให้มีอาการปวดท้อง ปวดเมื่อย คลื่นไส้อาเจียน อุจจาระร่วง หรือการติดเชื้อไปยังอวัยวะอื่น ซึ่งหากเกิดในทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ซึ่งภูมิต้านทานโรคลดลงจะมีโอกาสทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ การรักษาแบบประคับประคองยาฆ่าเชื้ออาจพิจารณาให้ในการติดเชื้อบางกลุ่มเท่านั้น และไม่แนะนำให้ใช้ยาหยุดถ่ายเอง เว้นแต่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์
3. โรคบิด เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Shigella (บิดไม่มีตัว) หรืออะมีบา (บิดมีตัว) ซึ่งสามารถติดต่อได้ผ่านการรับประทานอาหาร ผักดิบ รวมถึงน้ำดื่มที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรค การติดเชื้อสามารถทำให้เกิดอาการไข้ ปวดท้องบิด ปวดเบ่งถ่ายไม่สุด ถ่ายอุจจาระบ่อย และอาจทำให้อุจจาระมีมูกหรือมูกปนเลือดได้อีกด้วย
4. อหิวาตกโรค (Cholera) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Vibrio Cholerae ที่ลำใส้เล็ก ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ติดต่อจากอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ ซึ่งหากติดเชื้อโรคนี้จะทำให้เราถ่ายอุจจาระเป็นน้ำคราวละมากๆ โดยอาจไม่มีอาการปวดท้อง สามารถก่อให้เกิดูอาการขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรวดเร็ว เช่น กระหายน้ำ อ่อนเพลีย ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเร็ว ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะช็อก หมดสติจากการเสียน้ำ และในบางรายที่มีอาการรุนแรงมากๆ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
การดูแลเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยถ่ายเหลวเฉียบพลัน ควรชงผงน้ำตาลเกลือแร่ดื่มชดเชยให้ทันกับสารน้ำที่สูญเสียไป หากอาการไม่ดีขึ้นหรือผู้ป่วยไม่สามารถดื่มสารน้ำชดเชยได้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินแนวทางการรักษาต่อไป
5. ไข้ไทฟอยด์หรือ ไข้รากสาดน้อย (Typhoid) อีกหนึ่งโรคที่สามารถติดต่อจากอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเช่นกัน ซึ่งเจ้าโรคไข้ไทฟอยด์นี้จะทำให้ผู้ป่วยมีไข้ ปวดหัว ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร และอาจท้องผูกหรือท้องเสียได้ นอกจากนี้เชื้อปนก็อาจปนออกมากับอุจจาระและปัสสาวะเป็นครั้งคราวได้ด้วย ทำให้เราเป็นพาหะนำโรคได้นั่นเองค่ะ
6. โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ (Rabies) ส่วนใหญ่มักเกิดจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เป็นพาหะนำโรค ซึ่งมักจะพบเชื้อจากสุนัขและแมวโดยสามารถติดต่อได้จากทั้งการโดนกัด หรือถูกเลียบริเวณที่มีแผลถลอกหรือแม้แต่น้ำลายสัตว์ที่มีเชื้อเข้าตา ปาก จมูก อีกด้วยค่ะ ซึ่งหากถูกกัดให้รีบล้างแผลด้วยสบู่หรือน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง แล้วรีบไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันและต้องแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทราบเพื่อเข้าควบคุมโรคในพื้นที่ทันทีค่ะ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจะมีอาการภายใน 15-60 วัน ซึ่งบางรายอาจใช้เวลานานเป็นปี เนื่องจากปัจจุบันโรคพิษสุนัขบ้ายังไม่มียารักษา จึงทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตภายใน 2-7 วันหลังแสดงอาการ
จะเห็นได้ว่าทั้ง 6 โรคที่ต้องระมัดระวังในหน้าร้อนนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นโรคติดต่อที่สามารถติดต่อผ่านการกินอาหารและน้ำดื่มทั้งนั้นเลย เราควรหลีกเลี่ยงโรคต่าง ๆ เช่น ใช้ช้อนกลางในการกินอาหารร่วมกัน ล้างมือทุกครั้งก่อนกินอาหารและหลังใช้ห้องน้ำและสุดท้ายคือการดื่มน้ำที่สะอาด คุณพ่อคุณแม่คอยสังเกตอาการของเด็กๆ ทุกครั้งและระวังการรับประทานอาหารของเด็กๆกันด้วยนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลเวชธานี