ก่อนเริ่มต้นสอนหรือปลูกฝังอะไรแก่เด็กนั้น พื้นฐานจำเป็นเปรียบเสมือนการเตรียมดินที่ดีเพื่อให้ต้นไม้ได้งอกงาม คือการให้ความรัก ความอบอุ่นอย่างสม่ำเสมอ จนสามารถสร้างสัมพันธภาพที่แนบแน่นระหว่างพ่อแม่และเด็กได้ (Secure Attachment)
สิ่งนี้สำคัญมากสำหรับเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัย 0-3 ปี หากกระบวนการนี้เป็นไปด้วยดี เด็กจะมีการพัฒนาของเซลล์สมองและเส้นใยประสาทอย่างเหมาะสม ส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีรอบด้านทั้งร่างกายและจิตใจ การสร้างความผูกพันทางจิตใจที่แนบแน่นนี้ ควรเริ่มสร้างตั้งแต่ตั้งครรภ์ พ่อแม่ควรมีอารมณ์แจ่มใส
เมื่อเด็กคลอดออกมาแล้วพ่อแม่ควรมีเวลาเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง ด้วยอารมณ์ที่แจ่มใส ให้ความรักความเอาใจใส่กับลูกสม่ำเสมอ ตอบสนองความต้องการได้ทันทีจะทำให้สร้างสัมพันธภาพทางจิตใจที่แนบแน่นกับเด็กได้ดี เด็กที่มีความผูกพันทางจิตใจที่แนบแน่นกับพ่อแม่ จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่รัก เห็นคุณค่าของตน สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้ และสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดี
ปัญหาที่พบบ่อยของเด็กในยุคปัจจุบัน ที่ทำให้พ่อแม่หนักใจและมาปรึกษาหมอบ่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรตระหนักและให้การดูแลปลูกฝังอย่างเหมาะสม มีดังนี้
1. การเลียนแบบพฤติกรรมก้าวร้าว
มักพบสาเหตุมาจากพ่อแม่และผู้ดูแล หากพ่อแม่มีอารมณ์เหวี่ยงง่าย ขี้หงุดหงิด ใช้อารมณ์ดุว่าและทำโทษเด็กอย่างไม่เหมาะสม จะส่งผลให้เด็กเครียด เก็บกด และเลียนแบบพฤติกรรมก้าวร้าวได้
เช่น หมอเคยพบเด็กบางคนที่ครูขอให้แม่พามาพบแพทย์ด้วยพฤติกรรมหยิกครูและเพื่อนร่วมชั้นเวลาหงุดหงิด แม่ก็กลุ้มใจที่เด็กมีพฤติกรรมดังกล่าว แต่พอสอบถามในรายละเอียด พบว่าแม่เองก็มักหงุดหงิดง่ายและลงโทษเด็กด้วยวิธีการหยิกเช่นกัน เด็กจึงเลียนแบบพฤติกรรมก้าวร้าวจากการกระทำของแม่ไปใช้กับคนอื่น
พ่อแม่ควรมีเวลาดูแลลูกและไม่ควรใช้สื่อเป็นเครื่องมือเลี้ยงลูกแทนตนเอง โดยเฉพาะเด็กวัย 0-2 ปี พ่อแม่ควรดูแลด้วยการชวนคุย เล่นกระตุ้นพัฒนาการ ไม่ควรปล่อยให้เด็กเสพสื่อเพียงลำพัง เพราะจะทำให้เด็กเลียนแบบพฤติกรรมก้าวร้าวจากสื่อที่มีเนื้อหาก้าวร้าวได้ นอกจากนี้เด็กจะขาดการกระตุ้นและมีพัฒนาการที่ล่าช้าได้
การเลี้ยงลูกด้วยตนเองโดยไม่ใช้อารมณ์ รู้จักกระตุ้นพัฒนาการ และป้องกันอันตรายจากสื่อ เปรียบได้กับการรดน้ำและใส่ปุ๋ยปลอดสารพิษให้แก่ต้นไม้
2. พฤติกรรมงอแง เอาแต่ใจมากเกินไป
เด็ก 0-3 ปี เป็นวัยที่มักงอแงเอาแต่ใจง่าย หากพ่อแม่เลี้ยงลูกแบบตามใจมากเกินไป เช่น ลูกร้องไห้อยากได้ของเล่น หรือสิ่งต่างๆ พ่อแม่ก็จัดหาให้ตลอดโดยไม่มีกรอบกติกา เด็กจะเรียนรู้ว่าการร้องงอแงทำให้พ่อแม่ใจอ่อนและตามใจ เด็กจะกลายเป็นคนเอาแต่ใจ
ดังนั้นการดูแลเด็กในวัยนี้ควรมีการวางกรอบกติกาที่เหมาะสม เช่น พ่อแม่ควรตกลงกับเด็กว่าใน 1 สัปดาห์ เด็กจะมีสิทธิ์ได้รับของเล่นหรือสิ่งต่างๆ ได้กี่ชิ้น และพยายามกำกับดูแลให้เด็กทำตามกติกาที่ตกลงกัน โดยไม่ใจอ่อนตามความงอแงของเด็ก เมื่อเด็กทำได้ตามกติกา พ่อแม่ก็ให้แรงเสริมโดยแสดงความชื่นชม สิ่งนี้จะช่วยสอนให้เด็กรู้จักระงับความอยาก ความงอแงที่เกินพอดี และทำให้เด็กเรียนรู้ที่จะทำตามกติกาได้
การเลี้ยงลูกอย่างมีกรอบกติกา เปรียบได้กับการตกแต่งกิ่งต้นไม้ให้แลดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ระเกะระกะ
3. เด็กไม่สามารถช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้ตามวัย
มักพบบ่อยในครอบครัวที่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย หรือพี่เลี้ยง คอยทำอะไรทุกอย่างให้ โดยไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้ฝึกทักษะที่จำเป็นตามวัย เช่น เด็กวัย 2 ปี จะสามารถจับช้อนได้เอง พ่อแม่อาจค่อยๆ สอนให้ลองตักข้าวกินเองบ้าง แม้เด็กจะทำได้ไม่เต็มที่ อาจหกเลอะเทอะ หรือกินช้า ก็ควรสนับสนุนให้เด็กทำเอง
นอกจากนี้เด็กวัยนี้ยังสามารถช่วยหยิบของที่ไม่เป็นอันตรายส่งให้พ่อแม่ได้ ซึ่งพ่อแม่ก็ควรฝึกหัดและชื่นชมเมื่อเด็กทำได้ ก็จะช่วยให้เด็กมีทักษะที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ตามวัยและเป็นเด็กที่มีน้ำใจรู้จักช่วยเหลือพ่อแม่
การเลี้ยงลูกให้ช่วยเหลือตนเองได้ตามวัย เปรียบได้กับการสร้างรากแก้วของต้นไม้ให้แตกแขนงยืนหยัดได้ดี
4. เด็กขาดจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
เพราะถูกปิดโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เด็กวัยนี้จะเป็นวัยที่เริ่มแสดงความเป็นตัวของตัวเอง อยากเล่น อยากลองริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ ด้วยตนเอง ชอบซักถามในสิ่งที่เขาสงสัย
ซึ่งหากพ่อแม่เอาแต่ดุหรือห้ามปรามด้วยความกังวล เด็กจะกลัว และไม่กล้าริเริ่มทำสิ่งต่างๆ ในทางตรงข้าม หากพ่อแม่สนับสนุนให้เด็กได้ทำอะไรใหม่ๆ ที่เขาอยากทำ (ถ้าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์และไม่มีอันตราย) ได้สำเร็จ รวมทั้งเปิดโอกาสให้เด็กได้ซักถามในสิ่งที่เขาสงสัยใคร่รู้ เด็กจะมีจินตนาการ มีความกล้าคิดกล้าทำ กล้าเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ดี
การส่งเสริมให้ลูกกล้าคิดริเริ่ม จะทำให้ลูกมีความสามารถรอบด้าน เปรียบเสมือนการนำต้นไม้ออกจากถุงเพาะชำและปลูกลงดิน เพื่อให้แตกกิ่งก้านสาขาได้มากมาย เพราะหากเราจำกัดพื้นที่ให้อยู่ในกระถางแคบๆ ต้นไม้ก็จะแตกกิ่งก้านได้น้อยและแคระแกร็น
การปลูกต้นไม้ให้เติบโตงอกงามก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยที่ดีที่ผู้ปลูกใส่ลงไป การเลี้ยงดูเด็กก็เช่นกันครับ หมอคิดว่าทุกคนคงอยากให้ลูกเติบโตโดยมีคุณลักษณะดีๆ ที่พ่อแม่อยากให้เป็น เช่นเป็นเด็กที่มีอารมณ์แจ่มใส มีน้ำใจ รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สามารถควบคุมอารมณ์ ไม่เอาแต่ใจ และทำตามกรอบกติกาได้
รวมทั้งสามารถช่วยเหลือตนเองได้ตามวัย มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งการเลี้ยงดูเด็กให้มีลักษณะดังกล่าวได้ก็ขึ้นอยู่กับวิธีการดูแลและปลูกฝังที่คุณอบรมสั่งสอนให้เขา ดังนั้นเด็กจึงเปรียบเสมือนภาพสะท้อนของวิธีการดูแลและปลูกฝังจากพ่อแม่
นอกจากการสร้างความผูกพันทางจิตใจที่แนบแน่นนี้ ควรเริ่มสร้างตั้งแต่ตั้งครรภ์ พ่อแม่ควรมีอารมณ์แจ่มใสแล้ว ยังมีตัวช่วยดีๆ เป็นชุดนิทานเสริมให้กับคุณลูกด้วยนะคะ เพื่อให้ลูกรู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองผ่านการอ่านและดูรูปภาพจากหนังสือนิทานได้อีกด้วยค่ะ
Line : @raklukeselect